- 04 เม.ย. 2563
สืบเนื่องเหตุวุ่นวายที่สนามบินสุวรรณภูมิ จากกรณีผู้โดยสารคนไทย จำนวน 152 เดินทางกลับจากต่างประเทศ และปฏิเสธจะเข้าสู่มาตรการกักกันตัวของภาครัฐ ตามประกาศที่เป็นไปตามพ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ก่อนจะมีการอนุญาตให้ทุกคนเดินทางกลับภูมิลำเนา สร้างความตื่นตระหนกว่าจะไปแพร่ความเสี่ยงเกิดขึ้นกับผู้ใกล้ชิด และสังคมชุมชน
สืบเนื่องเหตุวุ่นวายที่สนามบินสุวรรณภูมิ จากกรณีผู้โดยสารคนไทย จำนวน 152 เดินทางกลับจากต่างประเทศ และปฏิเสธจะเข้าสู่มาตรการกักกันตัวของภาครัฐ ตามประกาศที่เป็นไปตามพ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน ก่อนจะมีการอนุญาตให้ทุกคนเดินทางกลับภูมิลำเนา สร้างความตื่นตระหนกว่าจะไปแพร่ความเสี่ยงเกิดขึ้นกับผู้ใกล้ชิด และสังคมชุมชน
ต่อมา พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า กรณีเกิดเหตุวุ่นวายที่สนามบินสุวรรณภูมิที่ผ่านมานั้น กระทรวงกลาโหมโดย สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้เรียกตัวพล.ต.โกศล ชูใจ ผู้ชำนาญการ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และกำลังพลที่เกี่ยวข้อง กลับจากการปฏิบัติหน้าที่ทันที และสั่งตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นการเร่งด่วน โดยเฉพาะหากมีการใช้อำนาจเกินหน้าที่ จะดำเนินการลงโทษตามความผิดที่เกี่ยวข้องต่อไป
และเมื่อถูกถามถึงบทบาทหน้าที่ทหารที่ผ่านมาว่า กระทรวงกลาโหมจัดกำลังพลเข้าไปสนับสนุนกระทรวงสาธารณสุขในการทำหน้าที่ร่วมคัดกรองโรค สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ณ สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง ในรูปแบบใด พล.ท.คงชีพ ชี้แจงว่า โดยหลักการจะทำหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารที่ผ่านการคัดกรองและจำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการควบคุมโรค ตามมาตรการของรัฐที่กำหนด ( State Quarantine ) เพื่อนำเข้าพื้นที่ควบคุมโรคต่อไป
แต่เนื่องด้วยเมื่อวันี่ 3 เม.ย. ที่ผ่านมา “ศูนย์บริหารสถานการณ์ COVID -19” ได้มีคำสั่งให้ผู้โดยสารทุกคนจากทุกเที่ยวบินที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ต้องเข้าอยู่ภายใต้กระบวนการควบคุมโรคของรัฐที่กำหนด ขณะเดียวกัน การปฏิบัติงานของทุกส่วนราชการในการรับมือกับโรคระบาด COVID -19 รายวัน อาจมีรอยต่อของการปฏิบัติงาน และการสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้โดยสารที่เดินทางมาถึงในวันดังกล่าว ซึ่งไม่ทราบล่วงหน้า
ขณะที่ทราบในขั้นต้นว่า พล.ต.โกศล ได้รับการร้องขอให้เข้าไปทำความเข้าใจกับผู้โดยสารกลุ่มดังกล่าว ในช่วงที่เกิดเหตุความวุ่นวายตามที่ปรากฎเป็นข่าว อย่างไรก็ตาม กระทรวงกลาโหม จะเร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการเร่งติดตามผู้โดยสารทั้งหมด กลับเข้าสู่กระบวนการควบคุมโรคตามมาตรการของรัฐที่กำหนดโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตามจากการตรวจพบว่า ในโลกโซเชียลได้มีการแพร่คลิปภาพนายทหารรายหนึ่ง ที่อยู่ในเหตุการณ์เป็นผู้อธิบายกับผู้โดยสารทั้งหมด ก่อนจะปล่อยคนทั้งหมดกลับบ้าน โดยเป็นที่น่าสังเกตุว่านายทหารดังกล่าว สวมเครื่องแบบคล้ายกับกำลังพลของกองทัพอากาศ และใช้คำพูดว่า ขอแจ้งข่าวดี ทางผู้ใหญ่อนุญาตให้พวกเรากลับบ้านได้” ก่อนผู้โดยสารทั้งหมดจะส่งเสียงเฮลั่น พร้อมปรบมือด้วยความดีใจ
นอกจากนี้ยังมีข้อความด้วยว่า ขอร้องเมื่อปล่อยไปแล้วต้องรับผิดชอบตัวเอง และขอให้ทุกคนผ่านจากจุดนี้ด้วยความสงบเรียบร้อย และ “สงบปากสงบคำ”และคิดเสียว่าผู้ใหญ่ที่นี่ก็ไม่ได้ใหญ่เท่าไหร่ จะประสานงานในส่วนที่เกี่ยวข้อง และจะช่วยลดปัญหาให้พวกเรา ได้ และหากพวกท่านเจอปัญหาเรื่องเคอร์ฟิว ให้นำเอกสารของตัวเองชี้แจงเจ้าหน้าที่ด้วยเหตุผล และขอร้องให้ทุกคนรับทราบ จากนั้นจึงขอให้ผู้โดยสารเข้าแถวเพื่อปล่อยกลับ
โดยมีรายงานเพิ่มเติมในภายหลัง สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ชี้แจงแล้วว่า นายทหารที่ใช้คำพูดเรื่องการอนุญาตให้กลับบ้าน เป็น นาวาอากาศเอก สังกัดกองบัญชาการกองทัพไทย แต่มาช่วยราชการที่กระทรวงกลาโหม และทำหน้าที่ดูแลเรื่องการประสานงาน การยกกระเป๋า และเรื่องนำคนไทยชุดดังกล่าวขึ้นรถ แต่ไม่ได้มีทำหน้าที่คัดกรองโดยตรง
เพราะหน้าที่คัดกรองเป็นของศูนย์ EOC ของสนามบินสุวรรณภูมิ แต่กระน้้นเมื่อนาวาอากาศเอกเป็นหนึ่งในทีมงานของกระทรวงกลาโหม การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกระทรวงกลาโหมก็จะมีการดำเนินการสอบสวนนาวาอากาศเอกคนดังกล่าวด้วย พร้อมกับ พล.ต.โกศล ชูใจ
ขณะที่ในเพจเฟซบุ๊ก วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวอาวุโส สายทหาร ได้โพสต์ข้อความว่า เปิดผลสอบ “เสธ.โก้” “พลตรี” สุวรรณภูมิ ทำไมตัดสินใจ ปล่อยตัว 152 คนไทยกลับ
"พยายามเจรจา แล้ว ไม่เป็นผล หวั่นบานปลาย ต่อสาย ถก ผอ. EOC สธ. สุวรรณภูมิ ตัดสินใจ ให้ปล่อยไปก่อน แล้วค่อยตามกลับมา มีรายงานข่าว จาก ศปม. ว่า จากที่เกิดเหตุการณ์คนไทยที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ 152 คน ไม่ให้ความร่วมมือแก่เจ้าหน้าที่ในการเข้าสู่มาตรการการกักตัวเป็นเหตุให้มีความวุ่นวายเกิดขึ้น ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตั้งแต่ บ่ายจนถึงค่ำ 3 เม.ย.2563
จนเป็นเหตุให้ พล.ต. โกศล ชูใจ นายทหารกลาโหม ต้องออกมาเจรจา และยอมปล่อยให้คนไทย กลับบ้าน ไม่ต้องกักกันตัว จนถูกวิจารณ์ อย่างหนัก นั้น
จาการตรวจสอบเบื้องต้นของ ศปม.พบว่า เกิดจากการที่ ผู้โดยสาร ใช้เวลารอ ขั้นตอนการตรวจโรค การตรวจสอบของ จนท. เป็นเวลานานหลายชม. และไม่มีจนท.ผู้รับผิดชอบ ที่ตัดสินใจได้ มาดูแลให้ข้อมูลผู้โดยสารที่รออยู่ จนเกิดเหตุวุ่นวาย ขึ้น ไม่ยอมรับการกักตัว ตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน และเรียกร้องให้ผู้ใหญ่มาเจรจา
ในระหว่างนั้น เสธ.โก้ พล.ต.โกศล ชูใจ ได้ปฏิบัติหน้าที่ ที่สุวรรณภูมิ เพราะได้รับมอบหมายจากกลาโหม ไปทำหน้าที่ประสานงานเรื่องการจัดยานพาหนะ ในการรับส่งผู้โดยสาร ที่กลับจากต่างประเทศ ไปกักกันตัว แต่ไม่ได้มีหน้าที่ เกี่ยวกับ เรื่องนี้ แต่อย่างใด แต่ได้รับการร้องขอ จากเจ้าหน้าที่ มาช่วยเจรจา กับผู้โดยสาร ที่แสดงความไม่พอใจ ก่นด่า เพราะเห็นเป็นผู้ใหญ่สุด
แต่เมื่อพยายามเจรจาชี้แจง ด้วยข้อกฏหมาย แล้ว ผู้โดยสาร ไม่ยอม พล.ต. โกศล จึงได้ติดต่อกับ ผอ.EOCสธ. เพื่อปรึกษาหารือ จนที่สุด ก็ได้รับการบอกกล่าวว่า ให้ปล่อยกลับบ้านไปก่อน เพราะหากยื้อกันต่อไป จะเกิดความวุ่นวาย และอาจลุกลาม จึงได้ปล่อยตัวกลับบ้านไปก่อน แล้วค่อยติดตามกลับมา จนทำให้ถูกกระแสสังคม โจมตีว่า ทำไมตัดสินใจ ปล่อยกลับบ้าน โดยพลการ
ทั้งนี้มีการระบุข้อมูลด้วยว่า พล.ต. โกศล เป็น นายทหารเสือราชินี รุ่น ตท.24 ที่เติบโตจาก ร.21 รอ. และรับราชการในภาคอิสาน
ขณะที่ล่าสุด พล.อ. พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.ทหารสูงสุด ในฐานะหัวหน้า ศปม. ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้ "บิ๊กเบิร์ด" พล.อ. ปริพัฒน์ ผลาสินธุ์ รองเสนาธิการทหาร เข้ากำกับดูแลการบังคับใช้ข้อกำหนดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ ศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุข (Emergency Operation Center หรือ EOC) ทั้งท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง เพื่อชี้แจงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง รวดเร็ว
พล.อ. พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผบ.สส.
พร้อมทั้งทำหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารที่ผ่านการคัดกรองและจำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการควบคุมโรคตามมาตรการของรัฐที่กำหนด ( State Quarantine ) เพื่อนำเข้าพื้นที่ควบคุมโรคต่อไป
และ มอบหมายให้ "บิ๊กไก่" พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม รองเสนาธิการทหาร เป็นผู้รับผิดชอบในการติดตามตัวผู้โดยสารที่เดินทางกลับประเทศไทยและไม่ยินยอมเข้าสู่กระบวนการ State Quarantine กลับมา โดยมีรายงานว่ามีการติดตามผู้โดยสารคนไทยที่ไม่เข้าสู่กระบวนการกักกันตัวแล้วมากกว่า 60 ราย ทั้งที่มารายงานตัวที่สนามบินสุวรรณภูมิ และ หน่วยงานรับผิดชอบในพื้นที่ภูมิลำเนา
ขอบคุณที่มาข้อมูล : FB Wassana Nanuam