- 05 พ.ค. 2563
นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เศรษฐีอันดับที่ 10 ของเมืองไทย เขียนจดหมายตอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์
นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เศรษฐีอันดับที่ 10 ของเมืองไทย เขียนจดหมายตอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการนำพาประเทศไทยฝ่าวิกฤติโควิด-19 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ นายชูชาติได้รับหนังสือจากนายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอความร่วมมือระดับชาติเพื่อเอาชนะโควิด-19 ไปด้วยกันทั่วประเทศ
เมื่อวันที่ 5 พ.ค. นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เศรษฐีอันดับที่ 10 ของเมืองไทย เขียนจดหมายตอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการนำพาประเทศไทยฝ่าวิกฤติโควิด-19 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ นายชูชาติได้รับหนังสือจากนายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอความร่วมมือระดับชาติเพื่อเอาชนะโควิด-19 ไปด้วยกันทั่วประเทศ
นอกจากนี้ นายชูชาติ ยังระบุถึงมาตรการที่จะทำเพิ่มเติม ได้แก่ การจัดสรรและแจกจ่ายถุงยังชีพ 200,000 ถุง มุลค่า 60 ล้านบาท แก่ชุมชนต่างๆ 74 จังหวัดทั่วประเทศ ผ่านทางผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผ่านรมว. มหาดไทย รวมถึงจะมีการบริจาคเพิ่มเติม พร้อมเปิดพื้นที่อาคารสำนักงานสาขาทุกแห่งเป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตร และ OTOP, การเป็นศูนย์การกระจายความช่วยเหลือให้แก่ประชาชน พร้อมยืนยันในนโยบายการรักษาการจ้างงานและดูแลความปลอดภัยของพนักงานกว่า 10,000 คนของบริษัท ให้สามารถทำงานได้ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย รวมถึงได้รับสวัสดิการที่สมควรได้อย่างครบถ้วน
พร้อมทั้งการสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่พนักงาน และครอบครัวได้มั่นใจว่า บริษัทจะไม่ทอดทิ้งพนักงาน โดยบริษัทไม่มีนโยบายลดจำนวนพนักงาน ลดชั่วโมงทำงานหรือเลิกจ้างพนักงานแต่อย่างใด แต่ในทางกลับกัน บริษัทมีนโยบายรับพนักงานเพิ่มขึ้นอีก จำนวน 1,000 คน เพื่อรองรับการเปิดสาขาในอนาคต ทั้งนี้ นายชูชาติ ยังมีข้อเสนอแนะเพิ่มเติมด้วยว่า นอกเหนือจากมาตรการดังกล่าวข้างต้น ซึ่งเป็นนโยบายเชิงจุลภาคในการช่วยเหลือประชาชนแล้ว ตนขอนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงมหภาคว่าด้วยนโยบายของทางภาครัฐในการจัดตั้งกองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของตราสารหนี้ภาคเอกชน: Corporate StabilizationFund (BSF) เพื่ออุ้มตลาดตราสารหนี้โดยการรับซื้อตราสารหนี้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในกลุ่มน่าลงทุน (Investment Grade) ที่ถึงกำหนดไถ่ถอน
นายชูชาติ ระบุว่าตนมีความเห็นว่า ผู้ออกตราสารหนี้ในกลุ่มดังกล่าว อาจไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนในตลาดตราสารหนี้อย่างรุนแรง เท่ากับผู้ออกตราสารหนี้ในกลุ่มที่ต่ำกว่าระดับ Investment Grade ซึ่งในที่นี้รวมทั้งตราสารหนี้ที่ถูกปรับลดระดับความน่าเชื่อถือลงมาจากระดับ Investment Grade ด้วย ซึ่งหากตราสารหนี้กลุ่มดังกล่าวเกิดการผิดนัดชำระหนี้ จะก่อให้เกิดความผันผวนที่แท้จริงในตลาดตราสารหนี้อันส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของสถาบันการเงินและประเทศต่อไป จึงขอให้กองทุน BSF ที่จัดตั้งขึ้นนั้นให้การช่วยเหลือครอบคลุมถึงผู้ออกตราสารหนี้ที่ต่ำกว่าระดับ Investment Grade ด้วย