- 08 ก.ค. 2563
สาวห้างทนไม่ไหว ร้องทุกข์ทั้งน้ำตา ทำงานได้วันละ 300 โดนกรมสรรพากร เรียกภาษีย้อนหลัง 32 ล้าน
เมื่อเวลา 14.30 น.วันที่ 7 ก.ค. น.ส.นันทวรรณ (สงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี ซึ่งทำงานเป็นพนักงานรายวันอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในย่านปู่เจ้าสมิงพราย ต.เทพารักษ์ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ได้หอบเอกสารเข้าขอความเป็นธรรมกับ ทนาย ดร.เกรียงศักดิ์ พินทุสรศรี ที่สำนักงานเกรียงศักดิ์และเพื่อนทนายความการบัญชี จำกัด ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 1287 ตลาดธรรมสาโรจน์ ถนนสุขุมวิท ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง สมุทรปราการ หลังทราบว่าตัวเองตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายเรียก ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ได้ออกหมายเรียกให้ไปพบ เพื่อแจ้งข้อกล่าวหา แจ้งข้อความเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ฯ ตามประมวลกฎหมายรัษฎากร ฯ ที่มี กรมสรรพากร เป็นโจทย์ยื่นฟ้องเรียกเก็บภาษีย้อนหลังเป็นเงินจำนวน 32 ล้านบาท กับ น.ส.นันทวรรณ ซึ่งถูกระบุว่า มีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท บีอีเอ็นซี จำกัด โดยที่ น.ส.นันทวรรณ ไม่เคยเกี่ยวข้องกับบริษัทดังกล่าว หรือมีตำแหน่งตามที่ถูกกล่าวหา แต่อย่างใด และยังมีหนังสือนัดส่งตัว ให้ น.ส.นันทวรรณ ไปพบพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญามีนบุรี 2 ฟ้อง เพื่อฟังคำสั่ง หรือส่งตัวฟ้องศาล ในวันที่ 13 ก.ค. 2563 เวลา 10.00 น. ซึ่งความเป็นจริง น.ส.นันทวรรณ คุ้มศิริ ไม่ได้เป็นกรรมการบริษัทดังกล่าวและไม่รู้จักและไม่เคยทำธุรกิจในคดีนี้แต่อย่างใด มีรายได้เพียงเงินค่าแรงรายวันวันละ 300 กว่าบาท ต้องเช่าห้องอยู่มีลูกอีก 4 คนและแม่วัย 70 ปี ที่ต้องเลี้ยงดู แต่ต้องมาถูกดำเนินคดีข้อหา แจ้งข้อความเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ตามประมวลกฎหมายรัษฎากรโดยที่ไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง ถ้าในวันที่ 13 กรกฎาคม 2563 ส่งฟ้อง น.ส.นันทวรรณ ต้องติดคุกเพราะไม่มีเงินประกันตัวเพราะยอดเงินที่ฟ้องสูงถึง 32 ล้านบาท
น.ส.นันทวรรณ ได้เล่าทั้งน้ำตาว่า ตนเองตกเป็นผู้ที่ถูกกรมสรรพากร เรียกเก็บภาษี โดยกล่าวหาว่าตนเองมีชื่อเป็นประธานกรรมการบริษัท ซึ่งเราไม่เคยทำหรือไปจดทะเบียนกับบริษัทอะไรเลย เพราะเราทำงานเป็นพนักงานของห้าง รายได้ก็วันละประมาณ 300 กว่าบาท ตกเดือนละไม่ถึงหมื่นบาท ไม่รู้ว่าตนเองถูกสวมสิทธิ์หรือว่าเราไปพลาดอะไรตรงไหน อยู่ดี ๆ ก็มีหมายเรียกมาเมื่อ 4 ปี ที่แล้วเราก็ไปตามที่เขานัดและเราก็ปฎิเสธทุกข้อกล่าวหาว่าเราไม่รู้เรื่อง และก็ไม่ได้เป็นประธานกรรมการบริษัทนี้ แต่ล่าสุดเมื่อประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมาก็มีหมายเรียกส่งไปที่บ้านที่ต่างจังหวัด และแม่ตนเป็นคนรับหมาย ซึ่งเขาก็บอกว่าน้องมีชื่อตามนี้นะ และให้เราไปติดต่อกับตำรวจที่ทำคดีนี้นะ เราก็ไปหาตามหมายเรียกเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว และตนก็ปฎิเสธเหมือน 4 ปีที่แล้วว่าเราไม่รู้เรื่อง และไม่เคยทำอะไรตามที่ถูกกล่าวหา แล้วตำรวจก็บอกว่า เดี๋ยวทำสำนวนเสร็จก่อนส่งอัยการ และก็จะโทรหา ซึ่งเขาก็บอกว่ามันก็นานอยู่กว่าจะทำสำนวนส่ง แต่เราไปเมื่อต้นเดือนยังไม่ถึงสิ้นเดือนเลยเจ้าหน้าที่ก็โทรมาบอกว่าทำสำนวนเสร็จแล้วเดี๋ยวเราไปพบอัยการกัน และเขาก็บอกว่าคดีน้องมันก็ไม่น่ากลัวนะน้องใช้ชีวิตได้ปกติ ขอแค่ไม่ผิดนัด และมาตามนัดก็พอ แต่พอเราไปตามนัดเมื่อวันที่ 2 ก.ค. ที่ผ่านมา เขาก็พูดอีกแบบเลยเขาพูดแบบว่าเรารู้สึกแย่ไปเลย เขาบอกว่าน้องรับได้หรือเปล่า คดีแบบนี้มันรุนแรงนะมันเป็นคดีเศรษฐกิจ และถ้าเกิดน้องไม่มีเงินประกัน น้องติดคุกเลยนะ ตนก็เลยบอกว่าจะเอาเงินที่ไหนมาประกันตัวลูกก็ 4 คน แม่ก็อีกคนหนึ่ง ถ้าตนติดคุกใครจะเป็นคนส่งแม่กับลูกตนละ เขาก็บอกว่าเขาก็ทำตามหน้าที่ แล้วเขาก็เอาสำนวนขึ้นไปส่งแล้วเขาก็มีใบอะไรสักอย่างมาให้ตนเซ็น และเขาก็บอกว่าตนต้องไปศาลนะไปถามเขาว่าหลักทรัพย์ในการประกันตัวคดีหลีกเลี่ยงภาษีเท่าไหร่ ตนก็เดินไปถามเขาก็บอกว่าเงินประกันหลักทรัพย์ประมาณ 2 แสน เราก็ตกใจและถามว่าถ้าไม่มีเงินประกันจะทำอย่างไง เขาบอกว่าน้องก็ต้องติดคุก ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าจะไปหามาจากไหน คนหาเช้ากินค่ำบางวันเงินจะกินข้าวก็ยังไม่มี แต่ต้องมาติดคุกทั้ง ๆ ที่ตนก็ไม่ได้ทำอะไรผิดแต่เราต้องจ่ายภาษีถึง 32 ล้าน ตนก็นึกไม่ออกเลยว่าเงินมันเยอะแค่ไหน
ถ้าเราเป็นประธานบริษัท ตามที่ตนถูกกล่าวหาจริง ๆ เราจะมาเป็นลูกจ้างเขาทำไม ห้องเราจะมาเช่าเขาอยู่ทำไม ค่าเช่าเรายังจ่ายเขาไม่ตรงเลย เจ้าของตึกเขาไม่ไล่ตนออกไปนอนข้างนอกก็ดีแค่ไหนแล้ว จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายเงินไม่ใช่แค่บาทสองบาท แล้วทำไมตนต้องมาเจออะไรแบบนี้ ซึ่งตนก็รับไม่ได้มันก็มีความคิดเข้ามาในหัวว่าตนอยากฆ่าตัวตายนั่งร้องไห้ทุกวัน กินข้าวไม่ได้ตั้งแต่วันที่กลับมาจากศาลวันนั้น และก็นอนไม่หลับ จนต้องกินยานอนหลับ ตนเครียดจนไม่ไหวแล้ว มันร้ายแรงสำหรับคนจนที่หาเช้ากินค่ำและต้องมาเจอแบบนี้ ตนยืนยันว่าไม่เคยรู้จักบริษัทนี้ และก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือยืนเอกสารตามที่เขาบอกแต่อย่างไรเอกสารหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ และตอนที่ตนไปพบเจ้าหน้าที่ตนก็บอกเขาว่าทุกครั้งว่าตนไม่รู้เรื่องหรือรู้จักบริษัทนี้แต่อย่างใด แต่เจ้าหน้าที่เขาก็บอกว่าเขาทำตามหน้าที่ ในเมื่อสรรพากรยื่นมาเขาก็ทำ ตนก็ยังทักท้วงว่ามีอะไรให้ตนพิสูจน์บ้าง เหมือนตนถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว โดยที่ตนไม่รู้เรื่องอะไรเลย วันนี้ตนก็เลยมาร้องขอความเป็นธรรมที่สำนักงานทนายความดังกล่าว
ด้านทนาย ดร.เกรียงศักดิ์ ได้กล่าวว่า หลังจากนี้ที่ตนรับเรื่องมาในวันที่ 13 ก.ค. 2563 ตนก็ต้องไปที่อัยการ เพื่อทำคำร้องขอความเป็นธรรม คงต้องยื่นดูแต่ยังไม่แน่ใจว่าจะยืนในวันที่ 12 หรืออาจจะยื่นก่อนที่จะขึ้นศาล เพราะว่าต้องการให้อัยการสั่งไม่ฟ้อง ซึ่งตนจะทำคำร้องขอความเป็นธรรมขึ้นไป เราเอารายละเอียดให้อัยการฟังเพื่อวันที่ 13 ตนไม่อยากไปเสี่ยงในวันที่ 13 ผมกลัวอัยการสั่งฟ้องขึ้นมาและไม่มีเงินประกัน ตนกลัวว่าน้องจะต้องเข้าเรือนจำ และตนก็ต้องไปตีเยี่ยมที่เรือนจำและเขาติดคุกและฝากอีก 12 วัน สำหรับคดีนี้ต้องใช้เวลานานหลายเดือนหรืออาจจะเป็นปี ซึ่งน้องจะติดคุกยาว ตนจึงต้องหาวิธีว่าจะทำอย่างไร เพราะตนช่วยในคดีนี้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายอยู่แล้ว และตนก็ต้องไปคัดเอกสาร และพอรับคำฟ้องมันก็จะมีเลขทะเบียนของเขานิติบุคคล ซึ่งจะต้องตรวจสอบว่าน้องเขามีส่วนร่วมในกระบวนการหรือไม่อย่างไร ซึ่งตนก็ยังไม่เชื่อน้องเขาทีเดียว มันก็ต้องตรวจสอบ เพราะน้องเขามาร้องขอความเป็นธรรมและเขาก็ไม่มีเงินเลย และไม่รู้จักกับบริษัทที่ถูกกล่าวหาเลย ตนก็ต้องมาคัดเอกสารดู แต่ที่คัดเบื้องต้นยังไม่พบชื่อของน้องเขาเป็นประธานกรรมการแต่อย่างใด ซึ่งตรงนี้ตนก็ต้องทำเอกสารไปยื่นต่ออัยการเพื่อให้อัยการสั่งไม่ฟ้อง สุดท้ายถ้าเข้าสู่ระบบการของศาลแล้วน้องเขามาผิดจริง ตนเชื่อว่าศาลยกฟ้อง แต่ระหว่างตนก็หาวิธีขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวหรือใช้กำไลอีเอ็ม เพราะมีสิทธิ์ที่จะร้องขอศาลซึ่งตนจะลองขอดู ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่ในดุลกินิจของศาล คือเขาไม่ผิดไม่อยากให้เขาติดคุก เพราะน้องเขาชี้แจงไม่ชัด เพราะน้องเขาไม่รู้เขาเป็นชาวบ้านธรรมดาเขาไม่รู้ว่าจะหาเอกสารอะไรไปชี้แจง แค่บอกว่าไม่ได้ทำก็จบ เพราะวันๆ เขาหาเช้ากินคำอยู่แล้วเขาก็ไม่รู้จะชี้แจงอย่างไร
ขอบคุณ newtv