- 20 ส.ค. 2563
ลุงพล-ป้าแต๋น เคลียร์หมดเปลือกดราม่า ชีวิตดี-มีบ้านใหม่ เพราะเอาหลานมาหากิน
เรียกว่าคงต้องตามกันอย่างต่อเนื่องสำหรับกรณีของ การเสียชีวิตของน้องชมพู่ เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ที่ตอนนี้ยังหาสาเหตุการเสียชีวิตไม่ได้ ซึ่งก็มีหลายคนตกเป็นผู้ต้องสงสัย หนึ่งในนั้นก็คือ ลุงพล แต่สุดท้ายตอนนี้ลุงพล กลับมีแฟนคลับ แถมยังมีคนบริจาคเงินสร้างบ้านให้อีกต่างหาก ไม่พอแค่นั้นยังมีคนทาบทาม ลุงพล ให้เป็นนักร้อง แต่งานนี้จะเป็นการเอาคนตายมาหากินหรือไม่ แล้ว ลุงพล มีหลักฐานอะไรมายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง ทั้งหมดนี้ ลุงพล ควงป้าแต๋น มาเปิดใจผ่านทางรายการ คุยแซ่บ show ทางช่อง one31 ที่มีหนิง ปณิตา และใบเฟิร์น พัสกร เป็นพิธีกร
วันนี้เป็นวันครบรอบ 100 วันการเสียชีวิตหของน้องชมพู่ ทางครอบครัวได้มีการเชิญลุงพลและป้าแต๋นไปร่วมงานด้วยหรือเปล่า?
ลุงพล : มีแค่ชาวบ้านทั่วไปที่ทางพ่อแม่ได้ไปขอความร่วมมือ มาร่วมทำบุญ ส่วนที่บ้านก็ไม่ได้เข้ามาหา
ได้ให้ชาวบ้านร่วมบุญ ครบรอบ 100 วันของน้องชมพู่ แต่ทางลุงพลกับป้าแต๋นไม่ได้ไปร่วมงานด้วย?
ลุงพล : วันที่ 17 สิงหาคม ที่ผ่านมา เป็นวันคล้ายวันเกิดผม เราก็ได้ไปทำบุญ
วันนี้ครบ 100 วันของน้องชมพู่แล้วในส่วนของลุงพลและป้าแต๋นที่เลี้ยงน้องมาตั้งแต่เด็กรู้สึกเป็นไงบ้าง?
ลุงพล : ที่ผ่านมาก็ ทางครอบครัวเรากับทางครอบครัวน้องชมพู่เราก็สนิทสนมกัน เรียกได้ว่าเราไม่มีอะไรที่ขุ่นข้องหมองใจกัน เราก็ดูแลซึ่งกันและกันอยู่ตลอด
100 วันที่ผ่านมา ความรู้สึกในทุกวันคิดถึงน้องมากขนาดไหน?
ลุงพล : ทุกครั้งที่นึกถึงภาพที่เราไปเห็นก็รู้สึกเป็นห่วง
ขออนุญาตย้อนกลับไปถามถึงวันที่เกิดเหตุช่วงเวลาที่น้องชมพู่หายไป เป็นวันที่ 11 พฤษภาคม ช่วงสายๆ ตอนนั้นทำอะไรกันอยู่บ้าง?
ลุงพล : ทางผมกับป้าแต๋นไปกรีดยางตั้งแต่ตี 3 หลังจากนั้นก็กลับมาใส่บาตรที่บ้าน ซึ่งช่วงเวลา 8 โมงกว่าๆ เราได้มีการโทรนัดหมายกับแม่น้องชมพู่ไปสวนมันสัมปะหลัง ก็อยู่กันจนถึง 9 โมงกว่า ก็แยกย้ายกัน
คือช่วงเวลาที่น้องชมพู่หายไปทั้งลุงพลป้าแต๋นและแม่น้องชมพู่ก็คืออยู่ด้วยกัน?
ลุงพล : ใช่ครับ
คนที่เจอน้องคนแรกคือลุงพลเห็นบอกว่าตอนนั้นสติแตกไปเลย ความรู้สึกตอนนั้นจริงๆ แล้วมันเป็นยังไงบ้าง?
ลุงพล : หลังจากที่ได้ออกค้นหาน้องชมพู่ ตั้งแต่วันที่ 11 จนถึงวันที่ 14 ก็มีชาวบ้านชื่อยายตุ่นได้โทรศัพท์มาบอก ว่าเจอรองเท้าเด็กบนภูเขา ณ ตอนนั้น เราก็ไม่รู้ว่ารองเท้าที่เห็นเป็นของชมพู่หรือเปล่า เราก็มีความหวังว่าถ้าเป็นภูเขาใกล้ๆ บ้านเรา ก็มีโอกาสเป็นของน้อง ตอนนั้นชาวบ้าน ก็พร้อมใจกันที่จะขึ้นไปดู วันนั้นก็ขึ้นไปเป็นชุด เดินเรียงเป็นแถวยาว ประมาณ 30-40 คน ระหว่างที่เราขึ้นไปเวลาพบค่ำพอดี พอขึ้นไปถึงใกล้จุดที่พบรองเท้าได้มีการนั่งพักแล้วก็ปรึกษา แล้วก็รอคนอื่นที่เดินมาไม่ทัน ซึ่งตอนนั้นก็เป็นเวลามืดพอดี ทุกคนก็เตรียมใช้แบตใช้อะไร บริเวณภูเขาตอนนั้นไม่มีหญ้าอะไรรกมากมาย ทุกคนก็มองเห็นกันหมด แล้วได้เดินขึ้นไปตรงจุดที่ทางชาวบ้านได้ซ่อนรองเท้าไว้
ยายตุ่นได้ให้เหตุผลไหมว่าทำไมถึงเอารองเท้าไปซ่อน?
ลุงพล : ยายตุ่นบอกว่าเขาไปหาของป่า เขาบอกว่าเห็นรองเท้าสภาพดี คาดว่าน่าจะอยากเอาไปให้ลูกหลานที่บ้าน ก็เลยเอาไว้ก่อนไม่รู้ว่าเป็นรองเท้าใคร
หลังจากที่ขึ้นไปตามหาจู่ๆ ลุงพลก็กลายเป็นผู้ต้องสงสัยในการฆ่าน้องชมพู่ ในความคิดเห็นของลุงพล ลุงพลคิดว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงที่กลายเป็นผู้ต้องสงสัย?
ลุงพล : ประเด็นนี้ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันที่จู่ๆ ผมกลายเป็นผู้ต้องสงสัยในสายตาของแม่น้องชมพู่ เราก็ไม่รู้ว่ามันมีเหตุผลอะไร ข้อมูลอะไรที่ทางแม่น้องชมพู่ ได้รับรู้มา แล้วทำให้แม่น้องชมพู่เปลี่ยน จากคนอื่นมาเป็นเรา
ถามป้าแต๋นที่เป็นพี่น้องกับแม่ชมพู่ เพราะอะไรความคิดตรงนี้ถึงเกิดขึ้น?
ป้าแต๋น : อันนี้ก็ไม่เข้าใจกับน้อง เราอยู่ด้วยกันตลอดไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นผลที่จะทำร้ายหลานได้ ก็ยังตอบไม่ได้น้องคิดยังไง ใครมาพาให้คิดหรืออะไรก็ตามมาสงสัยลุง
คือที่ทุกคนเริ่มสงสัยลุงพลเริ่มมาจากแม่น้องชมพู่ถูกไหมคะ?
ป้าแต๋น : น่าจะใช่ต้องเป็นเจ้าตัวถึงจะคิดอย่างนั้นได้ เพราะเขาเป็นแม่ของผู้เสียชีวิต แต่เราไม่รู้เลยว่าเขาไปสงสัยได้ยังไง
เพราะเกิดความสงสัยในฐานะที่ป้าแต๋นกับแม่น้องชมพู่เป็นพี่น้องกัน เราได้มีการเคลียร์ใจกันไหม หรือถามกันตรงๆ ไหมว่าเพราะอะไรถึงมาสงสัยสามีเรา?
ป้าแต๋น : ไม่ถามตรงๆ ส่วนมากจะคุยผ่านแม่กับพ่อมากกว่า แต่ก็ไม่ได้คำตอบกลับมา
แล้วคุณตาคุณยายวิเคราะห์ยังไงบ้าง?
ป้าแต๋น : ตากับยายก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะฝั่งแม่น้องชมพู่ก็ไม่ได้บอกอะไร
ความรู้สึกของเรา เรารู้สึกยังไงบ้าง?
ป้าแต๋น : ตอนนั้นนั่งดูข่าวอยู่ ก็รู้สึกว่าอะไร เราไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะโดนคิดกับตัวเองแบบนี้
แล้วคนในหมู่บ้านเขามองเรายังไง?
ป้าแต๋น : เอาจริงๆ เราไม่กล้าที่จะมองใครเลย รู้สึกเหมือนอยู่กับคนแปลกหน้าเยอะๆ บางคนก็สงสารเราบางคนก็ใช่หรือเปล่า
มีอยู่ช่วงหนึ่งเหมือนชาวบ้านกกกอด เหมือนจะแบนลุงพล ตอนนั้นลุงพลกับป้าแต๋นใช้ชีวิตกันยังไง?
ลุงพล : ชาวบ้านส่วนใหญ่เขาก็ใช้ชีวิตปกติ เขาไปทำไร่ทำสวนเหมือนคนทั่วๆ ไป ตัวผมกับป้าจะคอยดูว่า เจ้าหน้าที่เขาทำงานไปถึงไหน ตรวจสอบ มีการมาขอหลักฐานตรงนั้นตรงนี้ ก็อย่างที่เป็นข่าว เราก็โดนทางเจ้าหน้าที่มาตรวจค้นรถ มาค้นที่บ้าน มาเอาหลักฐานต่างๆไป ผมก็พยายามดูว่าทางเจ้าหน้าที่ได้เก็บหลักฐานจากคนอื่นไหม ก็เป็นการตรวจสอบไปในตัวว่า มันมีแต่เราหรือเปล่าที่มีการเก็บหลักฐาน เราเองก็ชอบอยากรู้อยากเห็น ก็เลยมีการตรวจสอบว่าไปถึงไหนแล้ว
ซึ่งเขาก็ทำแบบนี้กับทุกๆ คน ที่สามารถจะทำได้?
ลุงพล : อันนี้ผมทราบเบื้องต้นคือมากที่สุดคือตัวผม ซึ่งวันที่มาคนรถที่บ้าน ไม่ได้มีหมายค้นหรืออะไรทั้งสิ้น มาในลักษณะที่บอกว่าอยากจะมาคุยด้วย ปรึกษาเรื่องเล็กๆ อาจจะไม่คุยเยอะแต่ไปๆ มาๆ ก็มีพิสูจน์หลักฐานมาล้อม แล้วก็มาตรวจค้นที่บ้าน
ผลสรุปยังไม่ออก แต่มันก็มีชาวบ้านบางส่วนที่ตัดสินเราไปแล้ว เคยมีเหตุการณ์ไหมที่ชาวบ้านมารุมว่าเรา ทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับเหตุการณ์นี้?
ลุงพล : ไม่ครับ ชาวบ้านส่วนใหญ่รู้นิสัยผมดี ผมจะเป็นคนที่ พูดตรงไปตรงมา ถ้าอันไหนไม่ใช่ความจริงผมจะเดินเข้าไปปะทะที่บ้านเลย ผมจะเป็นคนที่ชอบความจริงเรื่องอะไรที่ไม่เป็นความจริง จะไม่ยอมให้เรื่องดังกล่าวมันบานปลาย ผมจะต้องพยายามเคลียร์ทุกอย่างให้มันชัดเจน ทุกอย่างก็จะจบแล้วทุกคนก็จะกลับมาคุยกันเหมือนเดิม
แต่ก็มีคนที่เห็นใจลุงพลตั้งกลุ่มขึ้นมาเป็นแฟนคลับ ลุงพลรู้สึกยังไงบ้าง?
ลุงพล : รู้สึกดีใจในสิ่งที่เราพยายามต่อสู้ทุกอย่าง มันมีคนกลุ่มหนึ่งที่เขายังเห็นความถูกต้อง มันควรจะมาเหนือทุกอย่าง
มีคนนำรูปของลุงพลตอนหนุ่มๆ ไปเปรียบเทียบกับคุณสงกรานต์ เตชะณรงค์ เขาบอกลุงพลหล่อมาก ป้าแต๋นรู้สึกยังไงบ้าง?
ป้าแต๋น : ก็เฉยๆ อยู่ด้วยกันมานานแล้ว
ลุงพล : เรารู้จักกันตั้งแต่ปี 45 ปี 47 ก็แต่งงาน มีลูก
ถ้าแต๋นคิดว่าลุงพลกับคุณสงกรานต์ใครหล่อกว่ากัน?
ป้าแต๋น : จะสู้ลุงได้ยังไง
มีแฟนคลับลงทุนในการสร้างบ้านให้ด้วย?
ป้าแต๋น : ใช่
ลุงพล : ก็หลังจากที่เป็นข่าวไปก็มีผู้ใจบุญท่านยื่นมือเข้ามาช่วยสร้างบ้านให้ รู้สึกว่ามูลค่าทั้งหมดน่าจะตกประมาณ 3 แสนกว่าบาท บ้านเปลี่ยนไปเยอะมาก จากที่เราเอาไม่ไผ่ล้อม หลังคาสังกะสี
ได้ถามเขาไหมว่าทำไมเขามาสร้างบ้านให้เรา?
ลุงพล : ก็ได้คุยกับผู้ใจบุญทั้งสองท่าน ท่านก็บอกว่าท่านไม่ใช่แค่ช่วยครอบครัวเรา ท่านก็มีโอกาสได้ช่วยเหลือครอบครัวอื่นอีกเยอะแยะมากมาย แต่ท่านไม่เคยได้ออกสื่อหรือออกนามอะไร ซึ่งเป็นคนที่ใจดีมากๆ
นอกจากจะสร้างบ้านแล้ว ก็มีผู้ใจบุญเอาเฟอร์นิเจอร์มาให้ด้วย เห็นว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ป้าแต๋น ลุงพล มีโอกาสได้นั่งโซฟา?
ป้าแต๋น : ใช่ค่ะ คือเราไม่เคยมี ทุกอย่างในบ้านใหม่หมดเลย
ตอนที่เรานั่งโซฟาครั้งแรกรู้สึกยังไง?
ลุงพล : ก็ภูมิใจที่เรามีโอกาสมีโซฟาเป็นของตัวเองครั้งแรก ก็ภูมิใจกับทุกท่านที่ได้ส่งของ ทุกอย่างมีค่า ถึงแม้เป็นสิ่งเล็กๆ แม้แต่กำลังใจที่ไปหาที่บ้านเป็นสิ่งมีค่ามากสำหรับเรา
ยืนยันตรงนี้เลยว่าเราไม่เคยไปขอเงินใคร?
ลุงพล : ก็ยังยืนยัน ครอบครัวเราไม่ได้เปิดรับบริจาคใดๆ ทั้งสิ้น
มีคนเอาเราไปแอบอ้างไหม?
ลุงพล : อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน จริงๆ แล้ววัตถุประสงค์ที่เขาแอบอ้าง ผมก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร
ตอนนี้ยังมีความกังวลใจอะไรอยู่บ้าง?
ลุงพล : ก็มีความกังวลเรื่องการทำงานของเจ้าหน้าที่ ซึ่งมันผ่าน 90 วันไปแล้ว ผมเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ต้องเก็บหลักฐานอะไรอีกเยอะ เราก็ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ ซึ่งมันนานมากสำหรับเรา ถามว่าทุกวันนี้เราทำงานปกติไหม ก็ไม่ได้ทำอะไรครับที่บ้าน ตอนนี้ก็รับแขกคนที่มาให้กำลังใจที่บ้าน แล้วก็รอดูความคืบหน้าของเจ้าหน้าที่ และตั้งแต่เกิดเรื่องไม่ได้กรีดยางเลย ถ้าเรื่องยังเป็นแบบนี้จะยังไม่ทำงาน
ลุงพลกับป้าแต๋นยังมีความหวังที่จะจับฆาตรกรตัวจริงได้?
ลุงพล : ก็มีความหวังครับ เรื่องเวรกรรมมี
ป้าแต๋น : คนที่ทำเขาต้องรับกรรมที่ทำกับหลานเรา มันต้องมีคนทำ ดูจากสภาพแล้วเขาจะขึ้นไปข้างบนไม่ได้คนเดียว ป้าว่าเจ้าหน้าที่ต้องหาจนได้
เสียใจไหมที่มีคนกล่าวหาเรา?
ลุงพล : ทุกวันนี้เฉยๆ ครับ รู้สึกเฉยๆ กับสิ่งที่คนอื่นกล่าวหาเรา ซึ่งผมก็เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของตัวเองอยู่ว่าเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในคดี
ป้าแต๋น : เราเชื่อมั่นกันมาตลอด แล้วก็มั่นใจด้วยว่าลุงไม่ได้ทำ ไม่ได้อะไรทุกอย่าง คนอื่นจะมองยังไง เขาไม่ได้อยู่กับเรา เราก็ไม่ต้องอะไรมากมาย เราใส่ใจคนในครอบครัวของเรามากกว่า
ให้กำลังใจกันยังไง ในวันที่กระแสสังคม แล้วกระแสกับคนในชุมชนหมู่บ้านช่วงแรกๆ มองว่าเราเป็นผู้ต้องสงสัย?
ป้าแต๋น : ไม่ต้องคิดมาก
ลุงพล : ไม่ต้องคิดมาก อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด คนจะพูดก็ให้เขาพูดไป สิ่งไหนที่จริง สิ่งไหนที่ใช่ ทุกอย่างเวลาจะตัดสินมันเองครับ
ลุงพลค่อนข้างมั่นใจในความถูกต้อง?
ลุงพล : ครับ มั่นใจ ถ้าไม่มั่นใจ ผมไม่กล้าที่จะไปขอความช่วยเหลือจาก ผบ.ตร.
ได้มีน้ำตา นอนกอดกันร้องไห้บ้างไหม?
ลุงพล : ไม่ครับ ครอบครัวเราอยู่กันง่าย เราไม่เสียใจเรื่องแบบนั้น
ป้าแต๋น : ถ้าอยู่ต่อหน้าลูก ถ้าเสียใจ หรือว่าเจ็บ เราจะไม่ให้ลูกเราเห็น แต่ว่าเขาดูออกแหละ เขามาตบไหล่ แต่เราก็ผ่านมาได้ เรายังมีลูกของเรา
เขาบอกว่าลุงพลร้องเพลงเพราะมาก เมื่อก่อนเป็นนักร้องด้วย?
ลุงพล : น่าจะเป็น พ.ศ.2551 นานแล้ว ร้องเพลงลูกทุ่งครับ
ถ้าวันนี้มีคนเข้าใจเรา ในแบบที่ไม่เป็นความจริง ลุงพลกับป้าแต๋นจะบอกอะไรกับพวกเขา?
ป้าแต๋น : เราห้ามความคิดของใครไม่ได้ แต่ว่าเรามองส่วนที่เขาให้กำลังใจเรา มันจะทำให้เรามีกำลังใจต่อไป ไม่ต้องคิดอะไรมาก
ลุงพล : อยากจะฝากเกี่ยวกับโลกโซเชียลว่าการจะดูข่าว ซึ่งข่าวทุกวันนี้มันมีทั้งข่าวจริงและข่าวปลอม ก็อยากจะให้ทุกคนดูข่าวแบบรอบด้าน ดูไปด้วย คิดไปด้วย ว่าเรื่องราวต่างๆ มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เริ่มแรกมันเป็นยังไง จนถึง ณ ปัจจุบัน ซึ่งผมเชื่อว่าถ้าคนที่ดูข่าวทุกวันจะรู้ว่าอันไหนจริง อันไหนไม่จริง ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ต้องรอเจ้าหน้าที่อย่างเดียว
ลุงพลกลายเป็นคนดังถึงขั้นพี่จินตหรา พูนลาภ มาเชิญลุงพลบอกว่าเดี๋ยวจะมีคอนเสิร์ตเต่างอย วันที่ 1 กันยายน ให้ลุงพลไปขึ้นคอนเสิร์ตด้วย ตอบรับคำเชิญไปหรือยัง?
ลุงพล : ก็มีผู้จัดการส่วนตัวของจินตหรา พูนลาภ มาที่บ้าน แล้วมาคุยเรื่องการร่วมงานวันที่ 1 กันยายน ผมก็ได้ตอบรับทางผู้จัดการไปแล้วว่าจะไปร่วมงานด้วย เห็นผู้จัดการบอกว่าจะมีการฟีเจอร์ริ่งเพลงหนึ่งกับจินตหรา แล้วก็มีเพลงใหม่ด้วย
เราจะมีโอกาสเห็นลุงพลเป็นศิลปินเดี่ยวไหม?
ลุงพล : ก็ขึ้นอยู่กับเวลา
คนเราพอมีความดังขึ้นมา แน่นอนที่สุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ก็จะตามมา อย่างกรณีลุงพลก็โดนว่าทุกวันนี้ที่บ้านมีชีวิตดีขึ้น เพราะลุงพลเอาคนตายมาทำมาหากิน?
ลุงพล : ถ้ามุมมองของผม ว่าผมเอาเรื่องการตายของชมพู่มาหากิน ผมก็อยากให้เขาย้อนกลับไปว่าถ้าเหตุการณ์นี้มันเกิดในครอบครัวเขา หรือตัวเขาเอง เขาจะรู้สึกยังไง ผมก็ไม่อยากตอบโต้ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เราไม่ได้ไปชักจูงใครมารักเรา ส่วนใหญ่คนที่เขาดูข่าว แล้วรู้สึกว่าครองครัวเราน่าสงสารมากกว่า
ป้าแต๋น : เราไม่เคยคิดที่จะเอาหลานมาหากิน จนช่วงหนึ่งไปออกรายการ พูดอะไรที่ทำให้มองว่าเราน่าสงสารมากกว่า มันก็เลยกลับมาตรงนี้ จากไม่เคยมีใครให้กำลังใจก็มีเยอะจนเราตกใจ
ก่อนหน้านี้ ลุงพล ป้าแต๋น รวมถึงพ่อ แม่น้องก็รักกันดี?
ป้าแต๋น : ใช่ค่ะ
ลุงพล : ใช่ค่ะ ครอบครัวเราไม่เคยมีการทะเลาะ เราอยู่แบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมาตลอด ซึ่งพอเหตุการณ์มันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทำให้ครอบครัวของเราดูห่างกันไป แต่เราก็ยังรักใคร่กันเหมือนเดิม แต่เพียงต้องใช้เวลาแค่นั้นเอง
ล่าสุดมีเพจดังเอาไปเขียนเกี่ยวกับเรื่องการคายของน้องชมพู่ ใช้อักษรย่อว่าเป็นเบาะแส ว่าอักษรย่อของผู้ที่มีส่วนในการทำให้น้องชมพู่เสียชีวิตก็คือ ส,ต โลกโซเลียลก็ไปตีความว่า ส.ก็คือสาวิตรี ต.คือแต๋น ซึ่งมันตรงกับชื่อของป้าแต๋น ใจข้างในเป็นยังไง?
ป้าแต๋น : ก็คือผ่านมาเยอะ ทุกข์ตั้งแต่แรกแล้ว มาถึงจุดนี้ก็รู้แล้วว่าเราไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว ป้าก็ไม่กังวลเลย เพราะว่าสุดท้ายแล้วดก็อยู่ที่เจ้าหน้าที่ออกมาให้ความชัดเจนในที่สุด ไม่ใช่คนนู่น คนนี้
สมมติถ้าตำรวจมีหมายจับออกมาเราจะสู้ขาดใจเลยไหม?
ลุงพล : ก็ต้องต่อสู้ครับเพื่อความยุติธรรมของครอบครัวของเรา
เอาจริงๆ ลุงพลกับป้าแต๋นรู้ไหมว่าใครเป็นคนทำ?
ลุงพล : เท่าที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับครอบครัวน้องชมพู่ช่วงที่เราหาน้องวันที่ 11 ถึงวันที่ 14 มีช่วงหนึ่งที่เรามีโอกาสได้ปรึกษากับครอบครัวเขา ก็ไม่ได้คิดเป็นกังวลว่าไปสงสัยใครเป็นพิเศษ เพราะว่าตัวผมเองกับป้าแต๋นเราก็อยู่กับครอบครัวของเรา ซึ่งเราไม่รู้ว่าครอบครัวพ่อ แม่น้องชมพู่เขาไปมีเรื่องกับใคร หรือไปทะเลาะกับใครจนรุนแรงถึงขนาดมามุ่งเป้า หมายชีวิตน้องชมพู่ ซึ่งเราไม่รู้ว่าเหตุการณ์ต่างๆ มันเกิดขึ้นได้ยังไงกับครอบครัวน้องชมพู่ ซึ่งผมก็ยังติดใจในความรู้สึก มันเป็นใครกันแน่ที่ทำกับครอบครัวน้องชมพู่ ลึกๆ คือเราไม่ทราบว่าเหตุที่มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นจากอะไร
แล้วคิดว่าตัวของคุณพ่อ คุณแม่น้องชมพู่ทราบไหม?
ลุงพล : ผมเชื่อว่าทางพ่อ แม่ น้องชมพู่เป็นคนที่ให้คำตอบดีที่สุด
ป้าแต๋นมีอะไรอยากบอกกับลุงพลบ้างหลังจากที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย?
ป้าแต๋น : ไม่มีอะไร เราก็อยู่ด้วยกัน สู้ด้วยกันมาหลายปี ครอบครัวเราก็ยังอบอุ่นสำหรับป้าเหมือนเดิม เราก็สู้ด้วยกันไปเรื่อยๆ
ถ้าวันนี้หลานของเรารับรู้ เราอยากบอกอะไรกับหลาน?
ลุงพล : สำหรับลุง อยากภาวนาให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็ทุกอย่าง อยากให้ชมพู่ดลจิตดลใจคนที่ทำกับชมพู่ให้เขารู้สึกผิดหรือว่าให้รู้สึกว่าสิ่งที่ทำลงไปกับชมพู่มันยากเกินเยียวยาแล้ว ตอนนี้ครอบครัวของเราโดนมาหนักเหมือนกัน ครอบครัวน้องชมพู่เองก็โดนมาเยอะ ในใจผมอยากให้ชมพู่ซึ่งอยู่บนสวรรค์แล้ว อยากให้ชมพู่ไปแบบไม่ต้องห่วง เราเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศไทยยังคงดำเนินต่อไป หวังเป็นอย่างยิ่งว่าครอบครัวเราเอง ครอบครัวชมพู่เองจะได้รับความยุติธรรมครับ
คิดถึงหลานไหม?
ลุงพล : ตลอดครับ
ป้าแต๋น : นึกถึงหน้า นึกถึงตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ คิดถึงตลอด
ขอบคุณคลิปจาก Orange Mama