- 09 ก.ย. 2563
จากกรณีการเสียชีวิตของเด็กหญิงวัย 3 ขวบในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร จนลุกลามไปสู่ความแตกแยกของครอบครัวเด็กน้อย ตลอดจนการเป็นที่รู้จักของลุงของผู้เสียชีวิต ซึ่งทุกวันนี้เริ่มไม่สนใจการเสีนยชีวิตของหนูน้อยผู้โชคร้ายกันแล้ว ซึ่งล่าสุด เฟซบุ๊กส่วนตัวของหัวหน้าช่างภาพสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ได้โพสต์ข้อความระบายความในใจ เกี่ยวกับการทำข่าว “ลุงพล” ซึ่งกำลังถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในโลกโซเชียล กรณีที่สื่อมวลชนให้ความสำคัญกับบุคคลในข่าวมากเกินไป จนทำให้ความสนใจในการติดตามความคืบหน้าของคดีลดลง
จากกรณีการเสียชีวิตของเด็กหญิงวัย 3 ขวบในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร จนลุกลามไปสู่ความแตกแยกของครอบครัวเด็กน้อย ตลอดจนการเป็นที่รู้จักของลุงของผู้เสียชีวิต ซึ่งทุกวันนี้เริ่มไม่สนใจการเสีนยชีวิตของหนูน้อยผู้โชคร้ายกันแล้ว ซึ่งล่าสุด เฟซบุ๊กส่วนตัวของหัวหน้าช่างภาพสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ได้โพสต์ข้อความระบายความในใจ เกี่ยวกับการทำข่าว “ลุงพล” ซึ่งกำลังถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในโลกโซเชียล กรณีที่สื่อมวลชนให้ความสำคัญกับบุคคลในข่าวมากเกินไป จนทำให้ความสนใจในการติดตามความคืบหน้าของคดีลดลง
โดยเขาได้ระบายความอัดอั้นดังนี้ "ขอโทษกับความเน่าเฟะกรณีลุงพล ป้าแต๋น และบ้านกกกอก จากน้ำมือของ “สื่อมวลชนอย่างพวกเรา” ที่หยิบยื่นให้กับสังคม ตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา ผมทำหน้าที่เป็นหัวหน้าช่างภาพข่าวของหนึ่งในสถานีโทรทัศน์ที่นำเสนอข่าวนี้มาโดยตลอด ผมทำงานที่นี่มา 6 ปี ตั้งแต่วันแรกของการออกอากาศ จนวันนี้ไม่สามารถอดทนกับเรื่องที่เกิดขึ้นและได้ตัดสินใจเดินออกมาแล้ว
จากคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ ที่ถูกนำเสนอโดยสื่อมวลชนกลุ่มหนึ่งและ “ผมคือหนึ่งในนั้น” ที่มีส่วนทำให้คดีความ 1 คดี กลายเป็นเรียลลิตี้ชีวิตของลุงพล-ป๋าแต๋น เรียลลิตี้ความแตกแยกของครอบครัวๆหนึ่ง ชีวิตคนในหมู่บ้านกกกอก เรื่องไสยศาสตร์ ความงมงาย และการมอมเมา
“เราขายข่าวรายวัน” “เราหน้าไม่อาย” “เราไม่สนผิดถูก” “เราไร้จรรยาบรรณ” คือสิ่งที่สังคมตั้งคำถาม และมันถูกต้องทั้งหมด
เรานำเสนอเรื่องราวที่ห่างไกลจากสิ่งที่ควรจะเป็นจนกู่ไม่กลับ หาประโยชน์และปล่อยให้กลุ่มคนที่ต้องการผลประโยชน์จากเรื่องนี้เข้ามารุมทึ้ง “เราอยากได้กระแส และต้องการเพียงแค่ยอดคนดู ยอดกดไลก์ ยอดแชร์” บางคนแก้ต่างว่าสิ่งที่เกิดขึ้น สื่อฯอย่างพวกผม ทำไปเพื่อตอบสนองความกระหายใคร่รู้ของคนในสังคม หรือช่วยเหลือให้ชาวบ้าน 2 คนได้มีชีวิตที่ดีขึ้น มันไม่ใช่แค่สิ่งนั้นแน่นอน มันคือผลประโยชน์ทั้งนั้น
ยอมรับกันสักทีเถอะว่า “เรา” คือตัวแปรสำคัญ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดความบิดเบี้ยวทั้งหมดนี้ เพราะเราหิวกระหายเรตติ้งกันเหลือเกิน
“เรตติ้ง” คือทุกสิ่งทุกอย่าง
“เรตติ้ง” คือปัจจัยที่จะบอกได้ว่าคุณอยู่หรือไป
และ “เรตติ้ง” ก็กลายเป็นข้ออ้าง ที่ทำให้คนบางกลุ่มยอมทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้มา
ผมเป็นหนึ่งคนที่รับรู้เรื่องราว ที่ถูกสร้าง ปั้นแต่งและถูกนำเสนอผ่านหน้าจอมาโดยตลอด และตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า “พวกเราทำอะไรกันอยู่” “มันไม่ใช่ปรากฏการณ์ ไม่ใช่ความแปลกใหม่ ไม่ใช่ห่าอะไรทั้งสิ้น”
วันนี้ ผมซึ่งระลึกเสมอว่าตัวเองเป็นหนึ่งในฟันเฟืองที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ และพยายามจะแก้ไขอะไรบ้าง แต่สุดท้าย “ผมขอยอมแพ้กับความบิดเบี้ยว และยอมรับว่าตัวเองไม่สามารถท้วงติง หรือเปลี่ยนแปลงอะไรที่เกิดขึ้นจากต้นทางได้” ทุกอย่างยังดำเนินต่อไป ด้วยเหตุผลที่สรรหากันมา
ผมขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด และหวังว่าเมื่อเหตุการณ์จบลง ทั้งเราและคนดูบางกลุ่มน่าจะได้บทเรียนจากเรื่องนี้บ้าง และขออย่าเหมารวมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือภาพทั้งหมดของ “สื่อมวลชน” ผมยืนยันว่าในสภาวะที่มีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องเผชิญ วันนี้ยังคงมีเพื่อนสื่อมวลชน ที่พยายามทำหน้าที่ของตัวเอง ทำหน้าที่ของสื่ออย่างที่ควรจะเป็นให้ได้ดีที่สุด ผมขอบคุณและขอให้กำลังใจเพื่อนสื่อมวลชนที่ยังยืนหยัดทำหน้าที่อย่างถูกต้องต่อไป
ทรงพล เรืองสมุทร
9 กันยายน 63
หลังการประชุมที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
#F*ckthesystem #แบนระบบ ก่อน #แบนลุงพล เถอะ
#พูดถึงจริยธรรมแต่สิ่งที่ทำแม่งโคตรระยำ"
ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก ลุงพล-ไชย์พล บ้านกกกอก แฟนคลับ และ Songpon Ruengsamut