อาจารย์หมอจุฬาฯ ประเมินไทย ต้องเจอติดเชื้อหลุดรอด หลังครม.เห็นชอบเปิดรับนทท.พิเศษ

สืบเนื่องจากกรณีที่ นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงข่าว คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแนวทางการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศไทย โดยแนวทางดังกล่าว กำหนดเงื่อนไขว่า จะต้องเป็นบุคคลต่างด้าวพำนักระยะยาว ต้องกักตัวในห้องพัก 14 วัน และต้องมีหลักฐานการชำระเงินค่าที่พัก หรือ โรงพยาบาลทั้งก่อนและหลังการพำนัก หลักฐานการชำระเงินดาวน์ที่เป็นคอนโดฯ และลงตราวีซ่าค่าธรรมเนียม 2 พันบาท

ครั้งแรกอนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ พักได้ 90 วัน ขยายได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 90 วัน รวม 9 เดือน โดยจะเริ่มเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนตุลาคม 2563  ครั้งละ 100 คน 1,200 คนต่อเดือน ซึ่ง นางสาวไตรศุลี กล่าวอีกด้วยว่า “มาตรการดังกล่าว คาดว่า จะสามารถนำเงินเข้าประเทศ 1,200 ล้านบาทต่อเดือน”

ล่าสุด รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ผ่านเฟซบุ๊กสัวนตัวว่า "ในรอบ 14 วันที่ผ่านมา อเมริกาและบราซิลซึ่งรั้งอันดับ 1 และ 2 ของโลกนั้นมีแนวโน้มของจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันลดลงบ้าง แต่ที่มาแรง มาเร็ว จนน่าหวาดหวั่นคือ อินเดีย ที่จำนวนผู้ติดเชื้ผู้อไวรัสโรค COVID-19 รายวันเพิ่มขึ้นถึง 27% และอัตราตายก็เพิ่มขึ้น 9% ด้วยจำนวนประชากรของอินเดียที่สูงกว่า 1,300 ล้านคน พอๆ กับของจีน และมากกว่าอเมริกาถึงกว่า 3 เท่า การติดเชื้อใหม่ที่มากกว่า 90,000 คนต่อวันเช่นนี้ย่อมน่ากังวลมาก ล่าสุดกำลังจะทะลุห้าล้านคน แต่ถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรทั้งหมด...หากไม่สามารถคุมการแพร่ระบาดได้ ก็จะมีประชากรอีกมากที่จะติดเชื้อและเสียชีวิตได้ เชื่อว่าเราทุกคนคงเอาใจช่วย...

หากเจ้า COVID-19 นี้เป็นแบบหวัดธรรมดา หรือแบบไข้หวัดใหญ่ ก็คงไม่น่ากลัวนัก เพราะเป็นแล้วไม่ค่อยตาย หรือเรามีอาวุธสู้ทั้งยาและวัคซีน
แต่นี่ดันติดง่ายกว่าไข้หวัดใหญ่​ราวสามเท่า...จึงติดกันเอาๆ จนจะแตะสามสิบล้านในอีกสองวัน แต่นี่ดันเป็นแล้วตายได้ แม้จะไม่ได้การันตีแบบติดแล้วโอกาสตายสูงอย่างโรคมะเร็ง แต่จำนวนการตายภายในครึ่งปีนิดๆ ที่ผ่านมาก็เกือบล้านคนทั่วโลก เฉลี่ยอัตราตาย 3% ดูเหมือนน้อย แต่ไม่น้อยเลย ยิ่งหากใครเป็นซะเอง ก็เชื่อว่าในใจย่อมคิดแน่นอนว่า ไม่น่าติดเลย จะหายไหม และมีความกลัวไม่อยากจากโลกก่อนวัยอันควร

แต่ COVID-19 นี่ดันเป็นแล้ว ยังมีโอกาสเป็นอีกได้ ไม่ใช่การันตีว่าติดเชื้อครั้งแรกแล้วจะมีภูมิคุ้มกันทุกคน คนที่มีภูมิขึ้นก็มีโอกาสที่ภูมิจะลดลงมากหรือหายไปในเวลาไม่นาน ยิ่งไปกว่านั้น ความรู้ทางการแพทย์เราเริ่มเห็นรายงานมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า คนติดเชื้อครั้งที่สองได้ ล่าสุดสเปนก็มีสื่อรายงานว่ามีการพบการติดเชื้อซ้ำแล้ว 4 ราย โดยสองรายนี้เป็นหมอ และหมอคนล่าสุดที่ติดเชื้อซ้ำนี้มีประวัติติดครั้งแรกแล้วไม่ค่อยมีอาการ แต่พอมาติดครั้งที่สอง เล่นเอาอาการหนัก ต้องนอนไอซียูและ COVID-19 นี่ดันยังไม่มียารักษามาตรฐาน และไม่มีวัคซีนป้องกันดังนั้นไม่ว่าจะประเทศใด มีเงินถุงเงินถังแค่ไหน มีทรัพยากรมากเพียงใด ก็ยากที่จะรับมือได้...

ล่าสุด หากข่าวเป็นไปตามที่ออกมาทางสื่อโซเชียล...หวังจะได้เงิน 1,200 ล้านบาท เปิดรับนักท่องเที่ยว 1,200 คนต่อเดือน เป็นเวลา 12 เดือน รวม 14,400 คน เราจะมีโอกาสเจอผู้ติดเชื้อราว 72 คน

ถ้าเข้าระบบคัดกรองกักตัว 14 วันตามมาตรฐานจริง จะมีโอกาสหลุดประมาณ 2-10 คนครับ แต่หากไม่จำกัดประเทศเลย จะมีโอกาสเสี่ยงมากขึ้นได้อีกเป็นหลายเท่าถึงหลายสิบเท่า และหากระบบคัดกรองกักตัวไม่ได้มีประสิทธิภาพตามที่มาตรฐานระบุ...ความเสี่ยงก็จะมากขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น...ขอให้ประชาชนอย่างพวกเรา รักตัวเอง รักครอบครัว ป้องกันตัวอยู่เสมอนะครับ หากมีเคสหลุดรอดมา โดยเราตั้งการ์ดแข็งแรง โอกาสระบาดซ้ำก็จะน้อยลง แต่หากป้องกันไม่ดี เราคงจะมีโอกาสระบาดซ้ำได้มาก ถ้าเริ่มตุลาคมตามที่เขาว่า...ก็อาจมีโอกาสเห็นรายงานราวคริสตมาสหรือช่วงปีใหม่ (ไม่)เวลคัม...สงครามสายพันธุ์จี

ป.ล.จดจำไว้ด้วยนะครับ ผลงานของแก๊งสุขภาพท่องเที่ยวเดินทาง จะเป็นโบว์แดงหรือโบว์ดำ มาวัดกันดู New Normal ของการดำรงชีวิตแบบป้องกันตัวเองและครอบครัว ต้องมาแล้วครับ หวังว่าประเทศไทยจะทำได้ ด้วยรักต่อทุกคน