- 05 ต.ค. 2563
ผัวเมียแต่งงานกันนาน 13 ปี ก่อนถึงจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิต หลังผัวต้องย้ายไปอยู่บ้านพ่อตาแม่ยาย
จากกรณีสมาชิกพันทิป darakorn โพสต์เรื่องราวปัญหาชีวิตที่ตนเองต้องเผชิญ หลังจากแต่งงานกับภรรยานาน 13 ปี แต่กลับต้องมาเจอปัญหาใหญ่ เมื่อต้องย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านของพ่อตาแม่ยาย
สมาชิกพันทิปโพสต์ข้อความระบุว่า… ส่วนตัวมีครอบครัวแล้วแต่งงานมา13ปี(ลูก2คนเรียนอยู่ชั้นประถม) มีกิจการส่วนตัว/มีรถ/มีรายได้ถือว่าธุรกิจมั่นคงดี ถึงแม้จะมีเงินกู้ธนาคารอยู่บ้าง(แต่ก็เป็นเงินหมุนเวียนในระบบ)
พอแต่งงานเสร็จก็ย้ายเข้ามาอยู่บ้านพ่อตาแม่ยายตามประเพณี ตจว.(ภรรยาบอกอยากอยู่กับพ่อแม่) ซึ่งผมก็ไม่ขัดข้องคิดง่ายๆถือว่าเป็นความกตัญญู(ทั้งที่ผมก็มีร้านและกิจการของตนเองแล้ว)ในขณะพี่และน้องภรรยาแต่งงานทีหลังประมาณ3ปีแต่สร้างบ้านแยกกันอยู่
เริ่มที่ บ้านพ่อตาแม่ยายก็พอจะมีฐาน่ะครับมีอาชีพค้าขายเคยทำธุรกิจรับจำนองหรือขายฝากที่ดินบ้างเลยพอมีทรัพย์สิน(บ้างก็ขายหวย)ส่วนตัวผมก็ไม่ติดใจอะไรครับ ท่านอยากทำอะไรก็เรื่องของท่าน(ผมไม่ไปยุ่ง)ซึ่งต่างจากคู่เขยผมเข้ามาอยู่ทีหลัง(อายุเท่าๆกัน)แต่จะช่วยแม่ยายทุกอย่าง แต่ทุกครั้งที่ช่วยแม่ยายก็จะมีค่าตอบแทนให้ตลอด ส่วนตัวผมก็ไม่ได้สนับสนุนเรื่องนี้น่ะครับแต่ต่างคนต่างอาชีพ(แค่ทำหน้าที่เราก็พอ) แรกๆก็ไม่มีปัญหาครับแต่ระยะหลังๆ รู้สึกเหมือนหลายสิ่งหลายอย่างทำให้เกิดความเคลียดภายในบ้าน
1.) ปัจจุบันผมอยู่บ้านพ่อตาแม่ยาย ปกติก่อนแต่งงานผมตื่นเช้าไปเปิดร้าน7โมงเช้าปิดร้านเอง5โมงเย็น(ปิดร้านเสร็จไปออกกำลังกายเข้าบ้านอีกทีก็ประมาณ1ทุ่ม)ยอมรับตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่ผมแทบไม่ได้ช่วยทำงานดูแลเรื่องภายในบ้านเลยครับ(นอกจากกลับมานอน) แต่สิ่งที่ผมพอจะทำได้คือซื้อของเครื่องใช้ภายในบ้านเช่น เครื่องตัดไฟ/เครื่องกรองน้ำ/กล้องวงจรปิด/เครื่องดักยุงร่วม10กว่าเครื่องเพื่อใช้ส่วนรวมภายในบ้าน แต่ดูเหมือนสิ่งที่ผมทำจะไม่มีตัวตนเลย แม้กระทั้งแฟนผมยังมองว่าคนในบ้านไม่มีใครสนใจหรอก ต่างจากคู่เขยที่ทำงานประจำกลับมาตอนเย็นช่วยแม่ยายทุกอย่างเช่นขายหวย(สมมุติ)ซ่อมโน่นนี่นั่นภายในบ้านให้ เพราะถ้าบอกผมๆจะไม่มีเวลาและส่วนมากผมจะเรียกช่างมาทำที่บ้านแทนคนในบ้านจึงเชื่อใจคู่เขยผมมากกว่า ทุกวันนี้ผ่านไป10กว่าปีแม้แต่ชื่อผมแม่ยายยังเรียกผิดๆถูกๆติดเป็นชื่อคู่เขย บางครั้งก็เหมือนไม่ตั้งใจน่ะครับแต่บางครั้งผมก็อดคิดเล็กคิดน้อยไม่ได้
2.) ด้วยแม่ยายพอมีฐาน่ะและทรัพย์สินบ้างก็มีที่ดินที่ได้จากการขายฝากซึ่งเหมาะแก่การสร้างบ้านเพราะทำเลดีอยู่ในตัวอำเภอ แกจึงแบ่งที่ดินให้ลูกทั้ง3คน3แปลง มี2แปลงที่เป็น3งานเป็นที่ดินที่ถมดินแล้วแม่ยายแบ่งให้พี่กับน้อง ส่วนภรรยาผมได้แปลงที่ใหญ่กว่ามี4งานแต่ต้องถมที่เอง(ซึ่งเป็นที่นาหมดเงินถมที่ไปร่วม3แสน) แต่ท้ายสุดแล้วพี่สาวและน้องไม่ยอมต้องได้ที่ๆถมแล้วเท่ากันคือ4งาน สรุปผมต้องใช้เงินส่วนตัวผมเองถมที่3แสนคนเดียว แต่ตอนนั้นก็ไม่คิดอะไรมากครับถือว่าท่านแบ่งให้ก็ดีแล้ว
3.) คู่เขยผมแต่งงานเสร็จรีบสร้างบ้านบนที่ดินที่แม่ยายผมแบ่งให้ทันที ด้วยความวิถีชีวิตตจว.การสร้างบ้านใหญ่โตเหมือนแสดงถึงฐาน่ะ ทางแม่คู่เขยก็เอาเงินส่วนตัวให้สร้างบ้านประมาณ2ล้าน ส่วนแม่ยายผมไม่น้อยหน้าเอาเงินให้สร้างบ้าน3แสนและบอกให้ยืมอีก2แสน(หรือจริงๆก็คือให้ทั้งหมด5แสนนั่นล่ะครับ)เบ็ดเสร็จรวมแล้วได้สร้างบ้านราคา2ล้านกว่า แต่ปัจจุบันครอบครัวคู่เขยผมก็ยังเข้าๆออกๆบ้านพ่อตาแม่ยายทุกวัน จนบางทีเจอหน้ากันมากกว่าผมซึ่งอยู่บ้านกับพ่อตาแม่ยายเสียอีกครับ
4.) ส่วนตัวผมเป็นคนค่อนข้างจะไม่ค่อยเชื่อคนง่าย(หรืออาจะมีอีโก้สูง)แต่แม่ยายกับคู่เขยผมนี่สายเดียวกันเลยครับชอบไปทำบุญที่วัดนั้นวัดนี้ชอบไปขอหวยและเชื่อเรื่องหมอดูแบบสนิทใจ เคยมีญาติของแม่ยายทำงานธนาคารชวนให้แม่ยายนำเงินไปลงทุนแบบเงินกู้ระยะสั้นได้ดอกเบี้ยง่ายและเร็ว(ประมาณว่าปล่อยเงินกู้ระยะสั้นให้ลูกค้ารับเหมาที่มายื่นกู้เงินธนาคารก่อนเพราะเดินเรื่องช้ากว่าเงินกู้จะออก) แม่ยายผมหลงเชื่อเพราะญาติทำงานธนาคาร ในครอบครัวมีผมเป็นคนเดียวที่กล้าออกมาทักท้วงท่านแถมหาคลิปกลโกงแชร์แบบต่างๆในยูทูปมาให้ดู แต่ท้ายสุดด้วยความที่เขาเอาดอกเบี้ยมาล่อว่าจ่ายตรงทุกอาทิตย์(ท่านสูญเงินไปร่วม8แสน) นี่คือขนาดผมห้ามแล้วน่ะครับถ้าไม่ห้ามมีหวังหมดไม่ต่ำกว่า2ล้านเพราะญาติอีกคนโดนไปร่วม3ล้าน ซึ่งทุกวันนี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับญาติที่เคยชวนไปลงทุนคนนี้ก็ยังคุยปกติ(เพราะเขาบอกว่าโดนหลอกมาอีกที) ผมรู้ทั้งรู้ว่าญาติคนที่ชวนแกนำเงินไปลงนั่นล่ะที่โกงตั้งแต่แรก(ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก) แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่แม่ยายเอ่ยปากชื่นชมผมที่ออกมาเตือน
5.) ปกติที่บ้านมีรถอยู่แล้ว3คันพี่สาวและน้องชายภรรยาอยากได้รถส่วนตัว แม่ยายดาวน์รถเก๋งส่วนตัวให้ไปทำงานในรายของน้องชายแม่ยายลงทุนเปิดกิจการคาร์แคร์ให้ เปิดร้านเกมส์ให้(ช่วงที่มีโครงการรถคันแรก)แต่กิจการไปต่อไม่ไหวสุดท้ายแม่ยายเลยผ่อนรถให้ด้วย ในขณะที่ภรรยาผมๆเป็นคนกู้เงินมาแยกเปิดกิจการให้ แถมให้ใช้รถเก๋งผมขับจนจะเข้าปีที่15(พูดง่ายๆคือผมได้ใช้รถตนเอง2ปีที่เหลือ13ปีส่วนมากภรรยาเอาไปใช้)ปีนี้มีโครงการจะเปลี่ยนรถ(เพราะเริ่มซ่อมบ่อยมาก)แถมซ่อมทีก็ต้องยืมรถที่บ้านใช้บ่อยๆ ผมพูดแซวภรรยาถ้าซื้อรถใหม่เป็นชื่อภรรยาแม่ยายจะไม่ดาวน์รถให้บ้างเหรอ(ขนาดพี่น้อง2คนเขายังได้เลย) ภรรยาบอกไม่หรอกรบกวนแกเปล่าๆผมก็ได้แต่อมยิ้ม…..
6.) แม่ยายผมถ้าให้พูดตามตรงก็มนุษย์ป้าดีๆนี่เองครับ(สิ่งที่มนุษย์ป้าทำในพันทิปแกทำหมด)ไม่ได้จะว่าให้แกน่ะครับ แต่แกชอบทำอะไรตามใจตนเองทุกอย่างไม่สนว่าคนอื่นหรือว่าใครจะว่าอะไรให้(ข้อดีที่ได้เรียนรู้จากแกคือแกไม่อายครับแกสนุกคนเดียวของแกพอ)ถ้าใครตามใจแกคือแกรัก คือผมก็พอจะรู้นิสัยแกอยู่บ้างแต่ส่วนมากคนที่ขัดใจแกบ่อยๆจะเป็นผมมากกว่า(ตามข้อมูลด้านบน)ยกตัวอย่างผมพาแกไปกินข้าวร้านอาหารบรรยากาศดีๆ แกชอบบ่นโน่น!!นี่!!นั่น!!แพงไม่คุ้มๆผมก็พูดแย้งท่านขึ้นมาทันทีว่าเราไม่ได้มากินบ่อยๆน่ะแม่ จนบางครั้งผมบอกกับภรรยาอย่าชวนแกมาเลยเสียบรรยากาศ เราก็ใช่ว่าจะมีกินบ่อยอย่างวันเกิดปีล่ะครั้งสองครั้งงี้แต่ต้องมาอารมณ์เสียเสียความรู้สึก(ทั้งที่ผมก็เป็นคนจ่ายเงิน)
หรืออย่างเวลาไปเที่ยวทะเล(ผมเป็นคนชอบเที่ยวทะเล)ใจก็อยากสร้างความกลมกลืนกับคนในครอบครัวภรรยาเลยชวนไปทั้งบ้านทั้งแม่ยายและคู่เขยไปเที่ยวทะเลด้วยเหมาเรือเที่ยวตามเกาะต่างๆ เรือก็พาลงแวะตามเกาะต่างๆพอแกถ่ายรูปเสร็จแกจะชวนขึ้นเรือไปต่อปุ๊บ บางจุดให้ลงดำน้ำคนเรือบอกให้ลงแกไม่ลง(น่าจะกลัวดำ)จนคนเรือถามเอ้าไม่ลงเหรอครับ แกบอกไปต่อๆซึ่งผมก็ขัดแกไม่ได้.
พอไปถึงจุดสุดท้ายเวลาเหลือเยอะกว่า3-4ชม.ผมกำลังพาเด็กๆเล่นน้ำได้ประมาณ1ชม.แกบอกผมให้ขึ้นไปที่อื่นต่อ(ผมบอกที่สุดท้ายแล้วแม่) แกบอกงั้นกลับไปจุดเดิมที่คนเรือบอกให้ลงดำน้ำ พูดงี้ก็งานเข้าสิครับเบอร์โทรคนเรือก็ไม่มี เรือก็ลอยอยู่นอกฝั่งเห็นไกลตาลำเล็กๆห่างจากฝั่งร่วม300เมตรได้(เพราะอุทยานเกาะเขาไม่ให้จอดที่โป๊ะหรือหน้าหาด)ที่นี้แกเล่นชี้มั่วเลยครับลำนั้นลำโน้นลำนี้หรือเปล่าให้ผมไปเรียกผมนึกในใจ(What!!)วุ่นวายกันทั้งกรุ๊ปครับโชคดีมีแค่กรุ๊ปครอบครัวตัวเอง ผมโทรหาบริษัททัวร์หาเบอร์โทรบริษัทเรือนำเที่ยวในเสื้อชูชีพก็เป็นของคนล่ะบริษัทเพราะเขารับงานต่อมาอีกที สุดท้ายวุ่นวายแบบนี้จนเวลาล่วงผ่านเลยไปร่วม2ชม.สรุปคือเรือมารับตามเวลาเดิม แต่ทริปล่มครับเพราะแทนที่เวลา4ชม.จะเป็นเวลาพักผ่อนเล่นน้ำ กลายเป็นเวลาที่ทุกคนมารวมตัวนั่งรอขึ้นเรือกลับ ตั้งแต่นั้นมาผมบอกกับภรรยาว่าถ้ามาทะเลแล้วมีแม่ยายมาด้วยผมจะไม่มา
7.) เรื่องการเข้าสังคมผมยอมรับข้อเสียตนเองครับผมเป็นคนโลกส่วนตัวสูงเข้ากับคนยาก แต่ใช่ว่าจะไม่พยายามน่ะครับกับคู่เขยผมก็พยายามหาวิธีสนิทสนม บางทีชวนดื่มชวยคุยบ้างบ้างแต่ภรรยาเขาไม่ให้ดื่ม(แม้กระทั้งชวนนั่งกินที่บ้านก่อนแต่งงาน2วัน)เลยไม่มีโอกาสได้คุยกันหรือสังสรรกันซักทีแต่แรกๆที่ทำงานเขาก็ดื่มน่ะครับ แต่จะเลือกเหล้าดื่มหน่อย จนหลังๆมานี้ก็กลายเป็นว่าเขาต้องเลิกเหล้าโดยปริยาย แล้วแม่ยายผมแกชอบถามผมทำไมไม่เลิกเหล้าแบบคู่เขยผมล่ะ(มักจะเปรียบเทียบตลอด) ผมก็งงๆแต่ก็เงียบเพราะผมไม่ได้กินบ่อยถึงขนาดต้องเลิกเหล้าน่ะครับขนาดภรรยาผมยังเอ่ยปากแทนเลย(หลังๆมานี้แทบจะปีล่ะครั้งได้) แม้กระทั้งทุกวันนี้น้องชายกับพี่ชายแท้ๆผมชวนดื่มผมยังไม่ดื่มเลยครับทั้งที่ผมก็อยากดื่มกับพี่กับน้องน่ะ(มีอาชีพมั่นคงกันหมดแล้ว) จนทุกวันนี้ผมกลายเป็นคนไม่ค่อยเข้าสังคมพี่น้อง เอาจริงๆแม่ยายกับพ่อตาผมมีโอกาสได้ไปงานเลี้ยงบ่อยๆยังดื่มเยอะกว่าผมอีก……
8.) กับคู่เขยผมนี่แทบจะเหมือนขั่วบวกกับขั่วลบ นิสัยคนล่ะอย่างต่างกันแบบสิ้นเชิงคนหนึ่งเรียกว่าเฟรนลี่ส่วนผมเป็นคนพูดน้อย คนหนึ่งชอบลงมือทำเองทุกอย่างทุกอย่างจริงๆครับ(ประมาณว่าเก่งกว่าช่างที่ร้านมีเครื่องมือให้เช่า)ส่วนผมเรียกช่างตลอด เลยไม่ค่อยมีโอกาสคุยกันเท่าไหร่นัก(หรือจริงๆก็ในใจก็ไม่ค่อยถูกกันนักล่ะครับ)เขาค่อยข้างจะเป็นคนพูดเยอะเวลาพูดทีเขามักจะแย้งมาตลอดไม่ว่าจะคุยกับใคร(อาจจะเป็นเพราะนิสัยส่วนตัว)แม่ยายก็ดูจะเชื่อไปหมด ส่วนผมจะพูดน้อยกับผู้ใหญ่ส่วนมากผมจะครับอย่างเดียวไม่ค่อยโต้แย้งแต่ด้วยความที่โตเป็นผู้ใหญ่ทั้งคู่เลยไม่แสดงออกมาภายนอก(ผมก็เลยเลือกที่จะไม่ค่อยพูดดีกว่าง่ายดี)
9.) มีแนวความคิดที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างที่บ้านแม่ยายจะชอบไปทำบุญที่วัดมากครับคู่เขยจะชอบพาแม่ยายออกไปทำบุญตลอด(ทำบุญเลี้ยงพระทุกปี)แต่กับผมๆเลือกจะทำบุญด้วยการไปบริจาคเลือดหรือบริจาคเงินให้กับมูลนิธิโดยตรง บริจาคอวัยว่ะบริจาคร่างกาย ซึ่งที่บ้านไม่มีใครไปกับผมแน่นอน
10.) มีครั้งหนึ่งไปเที่ยวต่างประเทศแม่ยายผมชวนพ่อแม่ผมไปเที่ยว แกจะออกเงินค่าทัวร์ให้คู่เขยผมทั้งครอบครัว(มี3คน) ส่วนครอบครัวผมแม่ยายจะออกให้เพียงแค่2คน(ลูกผมอีกคนแม่ผมเป็นคนออกให้เอง) ส่วนผมคงไม่ต้องถามครับเพราะส่วนตัวแล้วถึงแกจะออกให้ผมก็คงเลือกที่จะออกเองอยู่ดีครับ
11.) ข้อสุดท้ายข้อนี้คือข้อที่ทำให้ผมเคลียดที่สุด!!(หรืออาจจะด้วยเป็นคนที่ค่อนข้างคิดมาก) แม่ยายแกมักจะชอบพูดเอาธุรกิจผมไปเปรียบเทียบกันคนโน้นทีคนนี้ที ดูคนโน้นสิเพื่อนแกทำธุรกิจคล้ายๆกันทำไมเขารวยเอาๆรวยเป็น30-50ล้าน(ซึ่งแต่ล่ะคนอายุ60อัพทั้งนั้น) ทั้งๆที่ธุรกิจผมก็ไม่ได้เล็กน่ะครับ(ที่ตจว.ก็ถือว่าใหญ่พอประมาณ)ถึงแม้จะมีเงินกู้ธนาคารบ้างแต่ก็เป็นเงินสินเชื่อที่ไว้ใช้ในการหมุนเวียนธุรกิจ(ซึ่งผมก็พึ่งพาตนเองมาตลอด) คือที่เคลียดคือแกไม่ได้พูดกับผมแค่คนเดียวแกเอาไปพูดกับเพื่อนแกและญาติๆคนอื่นๆฟังด้วย ซึ่งผมโมโหตรงนี้มากและมองว่านี่คือเรื่องส่วนตัวของผม บางทีก็พูดยุแยงผมกับพนักงานในร้าน อย่าไปไว้ใจพนักงานในร้านมากน่ะพูดบ่อยซ่ะจนบางทีผมก็จิตตกทั้งที่ตลอดระยะเวลา13ปีแม่ยายผมเคยมาที่ร้านผมไม่เกิน3ครั้งได้
ทั้งหมดนี้คือความอึดอัดใจในการใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านภรรยามาตลอด13ปีครับ ปัญหาส่วนหนึ่งยอมรับว่าเดิมทีตนเองมีโลกส่วนตัวสูง(อีโก้สูง)ยิ่งมาอยู่กับครอบครัวภรรยายิ่งมีความอึดอัดใจความรู้สึกเหมือนผมโดนครอบครัวตนเองนินทาลับหลังตลอดเวลา(ทั้งที่ผมคิดว่าเราโตแล้วควรมีชีวิตเป็นของตนเอง) จนปัจจุบันผมรู้สึกเหมือนเป็นคน2บุคลิกขาดความมั่นใจ บางทีก็กลายเป็นคนเข้ากับคนยากมีอารมณ์โมโหง่าย ส่วนหนึ่งผมยอมรับเป็นคนคิดมากจนบางครั้งมีปัญหากับคนในครอบครัวและคนรอบข้างในบ้านบ่อยจนถึงขนาดไม่อยากคุยกับใครเลย เพราะมักจะเกิดคำถามย้อนแย้งในใจอยู่ตลอดเวลาและด้วยความเคลียดและคิดมากของผมตอนนี้ดูเหมือนจะเข้ากับใครในบ้านไม่ได้เลย สรุปตอนนี้ผมกำลังเป็นโรคเข้าสังคมไม่ได้หรือเปล่าครับ
ทางออกที่ผมพอจะคิดได้ในตอนนี้คืออยากสร้างบ้านแยกออกมาอยู่ แต่ภรรยาผมไม่เห็นด้วยส่วนแม่ยายผมยิ่งไม่ต้องถาม แถมพ่อตาสุขภาพท่านช่วงนี้ก็ไม่ค่อยจะดี(อันนี้ผมสงสารพ่อตาอยู่น่ะครับแกดีกับผมมาก) แต่ที่หนักกว่าสุขภาพพ่อตาผมตอนนี้ผมว่าก็สุขภาพจิตผมตอนนี้นี่ล่ะครับ รู้สึกว่าตนเองกลายเป็นคนมองโลกในแง่ลบตลอด ใครพูดอะไรไม่พอใจผมก็จะเดินหนีเลย ผมพอจะหาวิธีออกยังไงดีครับระยะหลังๆผมเลือกที่จะแก้ไขปัญหาโดยการตื่นไปเปิดร้าน6โมงเช้าปิด6โมงเย็นไปออกกำลังกายกลับค่ำๆพูดง่ายๆจะได้ไม่ต้องเจอครอบครัวภรรยาบ่อยๆครับ
ความสุขเดียวที่ผมมีอยู่ตอนนี้คือลูกครับ กระทู้ผมยาวนิดหนึ่งน่ะครับ(ขอบคุณสำหรับท่านที่อ่านจนจบ)ถือว่าเป็นการบอกเล่าประสบการณ์ของชีวิตในอีกแง่มุมหนึ่ง
ที่มา : Pantip