- 24 ม.ค. 2564
กลายเป็นอีกเคสหนึ่งที่ชาวเน็ตให้ความสนใจอย่างมาก เมื่อคุณยายวัย 89 ปีในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ต้องเกือบช็อกหลังถูกกรมบัญชีกลางมีหนังสือมาเรียกเก็บเงินเบี้ยผู้สูงอายุคืนรวมเป็นเงินกว่า 84,000 บาท สร้างความตกใจให้กับหญิงชราเป็นอย่างมาก จนลูกสาวต้องเข้าดูแลอย่างใกล้ชิด
กลายเป็นอีกเคสหนึ่งที่ชาวเน็ตให้ความสนใจอย่างมาก เมื่อคุณยายวัย 89 ปีในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ต้องเกือบช็อกหลังถูกกรมบัญชีกลางมีหนังสือมาเรียกเก็บเงินเบี้ยผู้สูงอายุคืนรวมเป็นเงินกว่า 84,000 บาท สร้างความตกใจให้กับหญิงชราเป็นอย่างมาก จนลูกสาวต้องเข้าดูแลอย่างใกล้ชิด
โดย นางบวน โล่ห์สุวรรณ อายุ 89 ปี ชาวบ้าน ต.เจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ได้เล่าว่า ได้รับเบี้ยผู้สูงอายุเมื่อปี พ.ศ. 2553 - 2563 เป็นเวลา 10 ปี ไม่มีปัญหาอะไร กระทั่งปี 2563 ทาง อบต. แจ้งว่าต้องหยุดจ่ายเงินเบี้ยผู้สูงอายุ เนื่องจากตนได้รับเงินบำนาญพิเศษกรณีที่ลูกชายเป็นทหารสังกัด มทบ.21 นครราชสีมา แต่เนื่องจากลูกชายเสียชีวิตจากเหตุการณ์คลังแสงระเบิดที่โคราช เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2544 ทางต้นสังกัดจึงได้พิจารณา จ่ายเงินบำนาญพิเศษ ให้กับพ่อ-แม่ คนละ 5,000 บาทต่อเดือน แต่หลังจากสามีเสียชีวิตก็เหลือยายคนเดียวที่ได้รับเงินบำนาญทายาทเดือนละ 5,000 บาท
กระทั่งต่อมาทาง อบต. แจ้งว่ามีหนังสือจากกรมบัญชีกลางให้เรียกเก็บเงินเบี้ยผู้สูงอายุคืน พร้อมกับดอกเบี้ย รวมเป็นเงินกว่า 84,000 บาท ตนแทบช็อก และรู้สึกงงว่าทำไมจู่ๆ ทางกรมบัญชีกลางถึงพึ่งจะมาเรียกเบี้ยผู้สูงอายุคืน ทำไมไม่ทักท้วงตั้งแต่เริ่มแรกว่าไม่มีสิทธิ์ได้รับ ทั้งที่ระบบราชการก็สามารถตรวจสอบได้อยู่แล้ว แต่ปล่อยให้ล่วงเลยมาจนถึง 10 ปีแล้ว มาเรียกเงินคืน ตนไม่รู้จะหาเงินที่ไหนไปคืน อยากวิงวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือด้วย ตอนนี้ไม่รู้จะหาทางออกยังไง เพราะลูกก็มีอาชีพทำนา และรับจ้างกินไปวันๆ แถมยังมีหนี้ ธกส. และต้องเลี้ยงหลานอีก 3 คน ที่ยังเรียนหนังสืออีก
ขณะเดียวกัน นางนิโลบล แวววับศรี รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง ได้กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า เนื่องจากหลักเกณฑ์ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2561 ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์จะได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ว่าจะต้องไม่เป็นผู้ได้รับเงินบำนาญ เบี้ยหวัด บำนาญพิเศษ หรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกัน
ซึ่งแต่เดิม องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เจริญสุข จ.บุรีรัมย์ เป็นผู้จ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้แก่นางบวน โล่สุวรรณ ตลอดมา ต่อมาในปี 2563 ได้มีการดำเนินการโครงการบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคม ผ่านระบบบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการสังคม (e-social welfare) เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจ่ายตรงเบี้ยชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการ ระหว่างกรมบัญชีกลางและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) ดังนั้น เมื่อ อบต. มีหนังสือสอบถามกรมบัญชีกลางให้ตรวจสอบกับฐานข้อมูลผู้รับบำนาญ ว่าผู้สูงอายุรายดังกล่าวเป็นผู้รับบำนาญหรือไม่ กรมบัญชีกลาง ได้ตรวจสอบพบว่า เป็นผู้รับบำนาญพิเศษ พร้อมทั้งได้มีหนังสือตอบ อบต. แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ได้รับเงินเบี้ยสูงอายุไปโดยไม่มีสิทธิ์ อบต. จะเรียกคืนเงินตามขั้นตอนและวิธีการที่ อบต. กำหนด ไม่ได้อยู่ในอำนาจของกรมบัญชีกลางที่จะดำเนินการได้ อย่างไรก็ดี กรมบัญชีกลางมีความห่วงใย และเข้าใจสถานการณ์ ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นอย่างมาก จึงได้มอบหมายคลังจังหวัดบุรีรัมย์ ประสาน อบต. เร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้สูงอายุรายดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาฐานข้อมูลด้านสวัสดิการสังคมกับทุกภาคส่วน เพื่อให้มีความครบถ้วนในทุกมิติ และอำนวยความสะดวกด้านการเบิกจ่ายตรง ให้มีความรวดเร็ว โปร่งใส เป็นธรรม