- 11 ก.ค. 2564
งานสำคัญมีไม่น้อย เปิดไทม์ไลน์ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หลังประกาศติดเชื้อโควิด ทั้งๆ ที่ฉีดวัคซีน แอสตราเซนเนกา มาแล้ว 1 เข็ม
ล่าสุด เลขาธิการ นปช. ได้ออกมาเปิดไทม์ไลน์ในช่วง 14 วัน พบว่ามีการเข้าพบอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด รัชดา นอกจากนี้ยังมีการเดินทางไปงานศพที่ จ.นครศรีธรรมราช รวมถึงไปคุยธุระที่ จ.นนทบุรี โดยเข้ารับการตรวจหาเชื้อเพราะเกิดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวหลังกลับจากต่างจังหวัด
โดยไทม์ไลน์ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อทั้งหมด มีต่อดังนี้
วันที่ 26 - 29 มิถุนายน - อยู่บ้าน
วันที่ 30 มิถุนายน - พบอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด รัชดา
วันที่ 1 - 2 กรกฎาคม - อยู่บ้าน
วันที่ 3 กรกฎาคม - เดินทาง 4 คนด้วยรถส่วนตัวไปงานศพที่เบญจธารารีสอร์ต อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช แวะปั๊ม 2 - 3 ครั้ง มีแวะทานอาหารกลางวันในร้านที่จำชื่อไม่ได้ ริมทะเลกุยบุรี นั่งด้านนอกอากาศถ่ายเท ในร้านมีโต๊ะเดียว
วันที่ 3 - 4 กรกฎาคม - อยู่ที่งานศพไม่ได้ออกไปไหน
วันที่ 5 กรกฎาคม - อยู่ที่งานศพ มีออกจากงาน 5 คน ด้วยรถส่วนตัว ไปโรงเรียนเบญจมราชูทิศ ลงจากรถถ่ายรูป ไม่ได้เจอใคร
วันที่ 6 กรกฎาคม - อยู่ที่งานศพ และเดินทางด้วยรถส่วนตัว 4 คน กลับกรุงเทพฯ มีแวะทานอาหารเย็น ที่ร้านอาหารริมทะเล หมู่ 10 ต.ท่าศาลา อ.ท่าศาลา นั่งด้านนอกอากาศถ่ายเท ในร้านมี 2 โต๊ะ ห่างกันประมาณ 10 เมตร และแวะปั๊ม 2 - 3 ครั้ง
วันที่ 7 กรกฎาคม - ช่วงบ่าย คุยธุระ อ.เมือง นนทบุรี 5 คน ห้องส่วนตัว สวมหน้ากาก ไม่รับประทานอาหาร ไม่ได้เจอคนอื่น
วันที่ 8 กรกฎาคม - ตรวจหาเชื้อ (กลับจากต่างจังหวัดครั่นเนื้อครั่นตัว) ช่วงบ่าย คุยธุระ อ.เมือง จ.นนทบุรี 7 คน ห้องส่วนตัว สวมหน้ากาก ไม่รับประทานอาหาร ไม่ได้เจอคนอื่น
วันที่ 9 กรกฎาคม - บ่าย คุยธุระ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี 8 คน สถานที่ส่วนตัว สวมหน้ากาก ไม่รับประทานอาหาร ไม่ได้เจอคนอื่น
วันที่ 10 กรกฎาคม - อยู่บ้าน ได้รับแจ้งพบเชื้อ
หมายเหตุ : ทุกวันออกกำลังหนักได้ปกติ ไม่มีอาการอื่น
ก่อนหน้านั้น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยังได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเพื่อแจ้งข่าวว่า "ผมติดภารกิจ 3 - 4 วันแต่ยังคงติดตามข่าวสารเหมือนที่ทำมาตลอด คิดว่าถึงเวลาต้องสนทนากัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดาและพวก จะไม่มีโอกาสหรือความชอบธรรมในการครองอำนาจแบบปัจจุบัน ถ้าไม่มีความขัดแย้งทางการเมืองที่ต่อสู้กันมาตลอด 15 ปี ซึ่งทั้ง 3 คนมีบทบาทสำคัญตั้งแต่การยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549
ต้องรัฐประหาร 2 ครั้ง ล้มนายกฯจากการเลือกตั้ง 4 คน ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน ตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ปราบปรามประชาชนมือเปล่าตายเป็นร้อย ล้มการเลือกตั้ง 2 ครั้ง ร่างรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจ และทำทุกอย่างที่ประณามกล่าวหารัฐบาลฝ่ายตรงข้ามถึงมีวันนี้
ภายใต้อำนาจเต็มกว่า 7 ปี คนพวกนี้ใช้ทรัพยากรของรัฐสร้างและขยายฐานอิทธิพลทางการเมือง สร้างรัฐราชการ บิดเบือนวิถีทางประชาธิปไตย ปิดกั้นพัฒนาการของประเทศตามหลักสากลเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนและพวกพ้อง
ไร้ความสามารถในการแก้ไขปัญหาทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เหลวแหลกโดยไร้ขีดจำกัดต่อการรับมือโควิด 19 เหยียดหยามซ้ำเติมประชาชนด้วยการพูด ทำ แสดงกริยาท่าทีเยี่ยงคนไร้สำนึกในสถานภาพผู้นำประเทศ
คนจำนวนมากสิ้นหวัง ตาย เจ๊ง การเยียวยาไร้ทิศทาง หนุ่มสาวทั้งในโลกอาชีพและสถานศึกษามองไม่เห็นอนาคต หลายแวดวงส่งเสียงเรียกร้องสิ่งที่ดีกว่า แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง
ความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองกลายเป็นเรื่องมีเจ้าของ ให้เป็นไปอย่างไรขึ้นอยู่กับผู้มีอำนาจไม่ใช่เพื่อประชาชน แก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับไม่ได้ ยกเว้นประเด็นที่เป็นผลประโยชน์ทางการเมือง
สับปลับเชื่อไม่ได้ สัญญาไม่เป็นสัญญา กฎหมายไม่เป็นกฎหมาย การตรวจสอบถูกเหยียบย่ำ หลักนิติธรรมถูกมองข้าม นานไปอำนาจนี้จะยิ่งเข้มแข็ง แต่ประเทศยิ่งบอบช้ำประชาชนยิ่งเสียหาย
บนถนนการต่อสู้ผมยืนอย่างเจียมตัวเสมอ เข้าใจดีว่าเลยวันเวลาของตัวเองไปแล้ว เคารพชื่นชมพลังของคนรุ่นใหม่ แต่สถานการณ์ถึงปัจจุบันจะเพิกเฉยไม่สนใจก็เหมือนละเลยภารกิจทอดทิ้งประชาชน
ผู้มีอำนาจทั้งหลายที่ตามคุยตามถามมาตลอดตั้งแต่ข้างใน และตอนผมออกจากเรือนจำ ผมยังรับผิดชอบคำเดิมทุกประการ ขอพูดกันชัดๆอีกทีนะครับ
ผมยึดมั่นหลักการประชาธิปไตย ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าคิดร้ายโค่นล้มสถาบัน ยืนยันเคียงข้างคนหนุ่มสาวอนาคตของประเทศ ไม่กลัวไม่รังเกียจการเปลี่ยนแปลงเพราะเห็นเป็นเรื่องปกติและทุกฝ่ายอยู่ร่วมกันได้ ไม่ได้ร่วมเวทีไทยไม่ทนทั้งวันนี้และอนาคต ให้เกียรติพวกเขาเพราะเราเท่ากันแต่แนวทางเป็นเรื่องของแต่ละคน
ผมตรงไปตรงมา พูดไว้ทุกครั้งว่าถ้าขยับจะบอก..ขบวนการอำนาจนิยมกลุ่มนี้กับผม เราเจอกันแน่"