- 18 ก.ค. 2564
เช็คข้อบังคับใหม่ ประกาศด่วนล็อคดาวน์เพิ่มเป็น 13 จังหวัด โควิดระบาดหนักเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม มีผล 20 ก.ค. 64
จากที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ในประเทศไทยยังไม่ดีขึ้น ซึ่งแม้จะทำการล็อกดาวน์และเคอร์ฟิว 10 พื้นที่เสี่ยงควบคุมสูงสุดสีแดงเข้มแล้ว ท่วาตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตก็ยังพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งวันนี้ (18 ก.ค. 64) มีผู้ติดเชื้อทะลุ 11,000 รายและยังเสียชีวิตหลักร้อย
ล่าสุดเว็บไซต์ ราชกิจจานุเบกษาประกาศล่าสุด ยกระดับล็อกดาวน์ ซึ่งจะมีผลวันที่ 20 ก.ค. 2564 นี้ ในเนื้อหาประกาศล่าสุดพบว่า จะมีการปรับเพิ่มจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มเป็น 13 จังหวัด พร้อมทั้งจำกัดการเดินทางประชาชน และขยายเวลาเคอร์ฟิวเพิ่มอีก 14 วัน
วันที่ 18 ก.ค. 2564 ราชกิจจานุเบกษาได้ออกเผยแพร่ ข้อกําหนด ออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 28) ยกระดับ ล็อคดาวน์ เพิ่มความเข้มข้นของมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 และการบังคับใช้อย่างจริงจังเพิ่มเติมขึ้น ระบุว่า
ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2563 และต่อมาได้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวออกไป อย่างต่อเนื่องเป็นระยะ นั้น แต่ยังงพบว่าการกลายพันธุ์เป็นหลายสายพันธุ์ ยังคงทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเสี่ยงที่จะเกิดภาวะวิกฤติด้านสาธารณสุข
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งรัฐบาลโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ได้ดําเนินการ อย่างเข้มแข็งและจริงจังในการเพิ่มศักยภาพด้านการตรวจคัดกรอง การรักษาพยาบาล และการเร่งรัด การจัดฉีดวัคซีนให้กับประชาชน
และเมื่อได้มีการประเมินสถานการณ์ภายหลังการมีผลใช้ บังคับของข้อกําหนด (ฉบับที่ 27) ลงวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2564 ปรากฏว่ายังไม่อาจชะลออัตรา การเพิ่มของจํานวนผู้ติดเชื้อและจํานวนผู้ป่วยที่ต้องเฝ้าระวังอาการโดยเฉพาะในกลุ่มเสียงที่เป็นผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง และกลุ่มผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจในกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และภูมิภาคหลายจังหวัด ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและมีแนวโน้มต่อเนื่อง
ซึ่งมักเป็นการติดเชื้อจากการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในครอบครัว และชุมชน ดังนั้น จึงจําเป็นต้องยกระดับความเข้มข้นของมาตรการและการบังคับใช้อย่างจริงจังเพิ่มเติมขึ้น จากข้อกําหนดที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้า เพื่อเร่งแก้ไขและบรรเทาสถานการณ์ฉุกเฉินให้คลี่คลายลงโดยเร็วที่สุด
อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 และมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 นายกรัฐมนตรีจึงออกข้อกําหนดและข้อปฏิบัติแก่ส่วนราชการทั้งหลาย ดังต่อไปนี้
1. ปรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้มเดิม 10 จังหวัด เดิมคือ กรุงเทพมหานคร , นครปฐม , นนทบุรี , ปทุมธานี , สมุทรปราการ , สมุทรสาคร และ 4 จังหวัดภาคใต้ สงขลา , ยะลา , ปัตตานี และนราธิวาส) เป็น 13 จังหวัด เพิ่ม ชลบุรี ฉะเชิงเทรา อยุธยา
2. ให้ ประชาชน ในพื้นที่สีแดงเข้ม เลี่ยง จำกัด งดเดินทางออกนอกเคหสถานโดยไม่จำเป็น ยกเว้นไปซื้ออาหาร ยา พบแพทย์ ไปฉีดวัคซีนโควิด
3. เคอร์ฟิว เวลา 21.00 – 04.00 น. เป็นเวลา 14 วัน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ใครฝ่าฝืนมีความผิดตาม พ.ร.บ.ฉุกเฉิน
4. ร้านอาหาร (ห้ามนั่งทาน), ห้าง(เปิดได้เฉพาะซูเปอร์มาร์เก็ต แผนกยาและเวชภัณฑ์ ที่ฉีดวัคซีน), ร้านสะดวกซื้อ ปิดเวลา 20.00-04.00 น.
ส่วน รพ. คลินิก โรงแรม ธนาคาร ไปรษณีย์ โรงงาน ร้านขายยา ร้านทั่วไป ปั๊มน้ำมัน ปั๊มแก๊ส และบริการส่งสินค้าและอาหารตามสั่ง (delivery online) เปิดได้ปกติ
5. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งปิดกิจการ/กิจกรรม ที่มีความเสี่ยงแพร่โรค 14 วัน
6. จำกัดจำนวนผู้โดยสาย ทุกประเภท ในพท.สีแดงเข้ม เหลือ 50%
7. ยังคงห้ามการรวมกลุ่มเกิน 5 คน / กิจกรรมอื่นที่เคยได้รับอนุญาตแล้ว ให้ขออนุญาตใหม่
8. หน่วยงานฯ ต่าง ๆ ขอให้ทำงานที่บ้านมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ข้อกำหนดและข้อบังคับในฉบับที่ 28 นี้ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 20 ก.ค. (ยกเว้นระบบขนส่งสาธารณะ มีผล 21 ก.ค.) เป็นระยะเวลา 14 วัน ( ถึง 2 ส.ค. 64) ลงชื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา