ผู้การฯ บุรีรัมย์ แจงแล้ว ถูกดราม่าถล่ม ตร.ฉีดแอสตร้าเซนเนก้าเข็ม 3

พล.ต.ต.รุทธพล   เนาวรัตน์   ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์  ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า  ก่อนหน้านี้ทางกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์  ได้จัดทำโครงการ “ทำดีด้วยหัวใจสู้ภัยโควิดด้วยศรัทธา

จากกรณี นายธงทอง จันทรางศุ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Tongthong Chandransu ระบุว่า ตำรวจที่บุรีรัมย์ได้ฉีดวัคซีนเข็มสามแล้ว ดีใจด้วยครับ เพียงแต่สงสัยว่า ผมตามไปดูในเพจของโรงพัก โพสต์นี้ไม่ปรากฏอยู่แล้ว ถ้าเป็นข่าวปลอมก็บอกมาเลยนะครับ จะได้แก้ข่าวให้ แต่ถ้าเป็นข่าวจริง ก็ชวนให้ผมสงสัยอะไรต่อไปอีกเยอะ เป็นคนขี้สงสัยนี่ลำบากจริงๆครับ

 

ผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ สั่งสอบแล้ว

 

โปรโมชั่นลาซาด้า

 

สำหรับความคืบหน้ากรณีดังกล่าวนั้นวันนี้ (26 ก.ค.2564) ทางด้านของ พล.ต.ต.รุทธพล   เนาวรัตน์   ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์  ได้ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า  ก่อนหน้านี้ทางกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์  ได้จัดทำโครงการ “ทำดีด้วยหัวใจสู้ภัยโควิดด้วยศรัทธา”  ด้วยการจัดรถและตำรวจบริการรับส่งผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงกลับภูมิลำเนา  ซึ่งก็มีสถานีตำรวจภูธรในสังกัด 9 แห่ง  จากทั้งหมด 34 สภ. สมัครเข้าร่วมโครงการดังกล่าว   โดยแต่ละ สภ.ที่เข้าร่วมโครงการก็จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อาสาเข้าร่วมโครงการด้วยความสมัครใจไม่มีการบังคับ  ก็จะมีรายชื่อของคนที่สมัครใจเข้าร่วมโครงการชัดเจน 

สำหรับ “การฉีดวัคซีนให้กับตำรวจที่เป็นประเด็นในครั้งนี้ ทางตำรวจเราไม่ได้ไปเอาโควตาทางการแพทย์ หรือของหมอ พยาบาล แต่จำนวนวัคซีนที่ลงไปเป็นวัคซีนในส่วนของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ส่วนหนึ่ง กับกลุ่มเสี่ยงอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งวัคซีนขวดหนึ่งสามารถนำไปแบ่งฉีดได้ 10-12 โดส และโดยทั่วไปบุคลากรทางการแพทย์สามารถบริหารส่วนนี้ได้ ส่วนที่เป็นเศษ 1 หรือ 2 ได้ ซึ่งกรณีที่มีเศษเจ้าหน้าที่ได้มีการพิจารณากันแล้วว่า ตำรวจก็มีส่วนเป็นด่านหน้าเช่นเดียวกัน ซึ่งทางสาธารณสุขแต่ละอำเภอก็รู้ว่ามีใครตำรวจคนไหนบ้าง ที่เข้าโครงการกลับภูมิลำเนาของตนเอง ก็เลยมีการประสานกันแล้วตำรวจทั้ง 11 คนนี้ก็ได้เข้าไปฉีด” วัคซีนชุดนี้ไม่ได้มีมาเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์อย่างเดียวเท่านั้น มีทั้งกลุ่มเสี่ยงด่านหน้าด้วย ซึ่งก็จะมีการจัดสรรจากเศษตรงนี้นำมาฉีดให้ตำรวจกลุ่มเสี่ยง ซึ่งถือเป็นนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย ที่ได้มีการจัดรถยนต์ควบคุมผู้ต้องหา และตำรวจที่สมัครใจ 

ตอนนี้จากการสำรวจได้มีผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มสีเขียว สมัครใจติดต่อมายังตำรวจแล้ว 4 ราย ที่เข้าโครงการตรงนี้ ซึ่งทั้งภูธรจังหวัด  มีทั้งหมด 34 สภ. มีสมัครใจเข้าร่วมโครงการเพียง 9 สภ.เท่านั้น ซึ่งตำรวจทั้ง 11 นายของ สภ.บ้านใหม่ไชยพจน์ ที่ได้รับการฉีดวัคซีนตามที่เป็นข่าวนั้น เป็นผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในโครงการและเป็นผู้ที่ปฎิบัติหน้าที่จริงอยู่แล้ว ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องมีสัญญาบัตร 1 นาย และประทวน 10 นายเสมอไป ซึ่งตรงนี้ขึ้นอยู่กับขอบเขตอัตรากำลังของแต่ละโรงพักด้วย

โครงการทำดีด้วยหัวใจสู้ภัยโควิดด้วยศรัทธา มีผลการปฎิบัติอยู่จริง และตำรวจก็ได้ปฏิบัติหน้าที่จริง แต่มีสื่อโซเชียลนำมาเสนอข่าวในลักษณะทำให้หลายคนไม่สบายใจ ว่า ตำรวจไปแย่งโควตาของบุคลากรทางการแพทย์มาหรือไม่ ซึ่งขอยืนยันว่าวัคซีนขวดหนึ่ง ไม่ใช่ว่าจะสามารถแยกย่อยได้แค่ 10 โดส แต่สามารถแยกย่อยได้ถึง 11-12 โดส ซึ่งทางหมอ-พยาบาลก็สามารถบริหารตรงนี้ได้ และขอยืนยันว่า ที่ตำรวจฉีดไม่ได้เป็นการเบียดบังของบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมันเป็นคนละส่วนกัน เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ป่วย ดังนั้น ทางตำรวจโดย ผกก.สภ.พุทไธสง ได้นำร่องเป็นหัวเรือในการชักชวนหัวหน้าโรงพักที่มีจิตอาสาเข้าร่วมโครงการ ซึ่งตนมองว่าเป็นโครงการที่ดี และทีแรกตั้งใจจะดำเนินการให้ครบทั้ง 34 สภ. แต่เกรงว่าในบางโรงพักอาจจะไม่มีความพร้อมในส่วนของบุคลากร ก็เลยขอให้เป็นในเรื่องของการสมัครใจเลยได้มาเบื้องต้นจำนวน 9 โรงพัก ต่อไปถ้าโรงพักอื่นมีความพร้อมในการดำเนินการ และสนใจเข้าร่วมโครงการก็ยินดี ซึ่งโครงการนี้ได้เริ่มต้นมาตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะมีความไม่สบายใจคือการฉีดวัคซีน ก็ต้องเข้าใจว่าตำรวจเหล่านี้เขาเป็นด่านหน้าจริง ที่จะต้องไปรับผู้ป่วย และมีการปฎิบัติหน้าที่จริง 

ซึ่งทั้ง 9 โรงพักที่เข้าร่วมโครงการนี้ มีตำรวจด่านหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้ว 11 นาย ในส่วนของ สภ.บ้านใหม่ไชยพจน์ ที่เป็นกระแสข่าว และในส่วนอีก 8 โรงพักที่เหลือ ถ้าวัคซีนมีเศษเหลือ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องหรือเบียดบังโควตา ของเจ้าหน้าที่บุคลากรทางการแพทย์ ก็เชื่อว่าทางเจ้าหน้าที่สาธารณสุขก็คงจะจัดสรรในส่วนเศษที่เหลือ ให้กับเจ้าหน้าที่ด่านหน้าและทำการฉีดให้กับตำรวจที่ปฎิบัติหน้าที่ด่านหน้าเช่นเดียวกัน

ทั้งนี้สำหรับโครงการทำดีด้วยหัวใจสู้ภัยโควิดด้วยศรัทธา ทางสถานีตำรวจภูธรพุทไธสง ได้มีการประชุมร่วมกับฝ่ายปกครอง ฝ่ายสาธารณสุข องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อจัดทำโครงการโดยจัดยานพาหนะ บุคลากร และเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ ในรูปแบบจิตอาสา เพื่อเป็นยานพาหนะเดินทางไปรับผู้ติดเชื้อที่มีความต้องการกลับมารักษาตัวกลับ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีหนังสือสั่งการให้สถานีตำรวจสำรวจยานพาหนะและมีความพร้อมในการบรรเทาความเดือดร้อนแก่ประชาชนเป็นการเร่งด่วน เพื่อช่วยเหลือในการรับญาติที่เดินทางไปทำงานต่างถิ่นกลับมารักษาที่บ้าน หรือสถานพยาบาลในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์

ดังนั้นเพื่อเป็นการสนับสนุนยานพาหนะในการรับส่งผู้ติดเชื้อไปยังโรงพยาบาลในภูมิลำเนา และ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือประชาชนที่รับความเดือดร้อนในภาวะวิกฤต รวมทั้งเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาให้องค์กรตำรวจ จึงได้จัดโครงการทำดีด้วยหัวใจสู้ภัยโควิดด้วยศรัทธาขึ้นนำร่องโดย มีสถานีตำรวจภูธรในสังกัด ภ.จว.บุรีรัมย์ เข้าร่วมดำเนินการจำนวน 9 สถานี คือ สถานีตำรวจภูธรลำปลายมาศ, สถานีตำรวจภูธรพุทไธสง,  สถานีตำรวจภูธรบ้านใหม่ไชยพจน์, สถานีตำรวจภูธรหนองหงส์,  สถานีตำรวจภูธรชำนิ,  สถานีตำรวจภูธรนาโพธิ์,  สถานีตำรวจภูธรคูเมือง,  สถานีตำรวจภูธรทะเมนชัย,  สถานีตำรวจภูธรหินเหล็กไฟ

 

โปรโมชั่นลาซาด้า