- 05 ส.ค. 2564
โปรดใช้วิจารณญาณ "บาตรแตก"ที่สุดแห่งคุณไสยทำลายกัน สร้างความแตกแยก และแก้ทางยากที่สุด
***ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน
บาตรแตก ไสยศาสตร์ มนต์ดํา มีจริงหรือ?
หากพูดถึง "บาตร" หรือ "บาตรพระ" เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกันดีพอสมควร เนื่องจากบาตรคือหนึ่งในอัฐบริขารที่เป็นของที่พระภิกษุและสามเณรใช้ในการบิณฑบาต โดยพระพุทธองค์ทรงบัญญัติ ไว้ว่าบาตรมี 2 ชนิดเท่านั้น คือ บาตรดินเผา และ บาตรเหล็กรมดำ โดยมีขนาดตั้งแต่ 7-11 นิ้ว และพระพุทธองค์ทรงห้ามไม่ให้ภิกษุใช้บาตรที่ทำจากวัสดุที่มีค่าเช่น เงิน ทอง ทองเหลือง ทองแดง
ทว่าในปัจจุบันวัดส่วนใหญ่อนุโลมให้ใช้บาตรที่ทำจากสแตนเลส เนื่องจากทำความสะอาดง่ายและสะดวกต่อการดูแล ส่วนฝาบาตรในสมัยก่อนนั้นทำจากไม้ ก็เปลี่ยนมาใช้เป็นฝาสแตนเลสแทน แต่ ในบางที่ในภาคอีสานยังใช้ฝาบาตรที่ทำจากไม้อยู่
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับ "บาตรแตก" หรือ "บาตรพระแตก" ซึ่งเป็นความเชื่อที่มีอยู่กับชาวพุทธมานานหลายร้อยปีว่า "บาตร" เป็นของที่ใช้กับพระสงฆ์องค์เจ้า ไม่เหมาะที่จะมาปรากฏอยู่ใน เคหสถานโดยทั่วไปเนื่องจากเป็นของสูง ส่วนความเชื่อในเรื่องบาตรแตกนั้นจะปรากฏมากในภาคกลางยิ่งกว่าภาคอื่น เนื่องจากพระสงฆ์จะได้รับการอบรม ถ่ายทอดจากพระอุปัชฌาย์ว่าให้ดูแลรักษา "บาตร" ของตนให้ดีที่สุด เพราะมีความเชื่อว่าพระสงฆ์หนึ่งรูปจะมี "บาตร" ได้เพียงหนึ่งใบเท่านั้น
ในสมัยโบราณ "บาตร" ทำจากดินเผาหรือไม้ หากเกิดรูรั่วพระสงฆ์จะต้องชันยาเพื่ออุดรูรั่วนั้นและใช้บาตรนั้นต่อไป จนกว่าจะมีผู้นำ "บาตร" ใบใหม่มาถวาย ในกรณีที่มีการแตกหรือชำรุดพระสงฆ์เท่า นั้นที่จะเป็นผู้เก็บรักษา และเก็บไว้ภายในวัด อย่าให้ไปตกอยู่ในมือของคนไม่มีศีลธรรม หรือจิตใจไม่ดี และอาจคิดร้ายต่อผู้อื่น เป็นเรื่องที่พระสงฆ์ต้องระวังอย่างมาก
ส่วนสาเหตุที่ต้องมีการเก็บรักษาให้พ้นจากมือของคนจิตใจไม่ดี ไม่มีศีลธรรม เพราะคนจิตใจไม่ดีบางคน อาจนำ "บาตร" นั้น ไปใช้ในทางที่ไม่ถูกไม่ควร เพื่อให้เกิดผลในทางอาถรรพ์กับผู้ที่ตนมุ่งร้าย เพราะเพียงแค่นำ "บาตร" นั้น ไปทิ้งไว้ตามเรือกสวน ไร่นา หรือนำไปโยนใส่ไว้ใต้ถุนบ้านของคนที่ตนมุ่งร้าย ก็สามารถทำให้บ้านนั้นเกิดความเดือดร้อน เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง เกิดความแตกแยก และหากผู้ไม่มีศีลธรรมผู้นั้นลงคาถาอาคมกำกับชิ้นส่วน "บาตรแตก" ได้ อาถรรพ์ที่จะเกิดขึ้นกับเจ้าของบ้านหลังนั้นและจะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
โดยทั่วไป.....หาก “บาตรแตก” สามารถพบเห็นได้ด้วยตาเปล่า การจะนำ “บาตรแตก” นั้น ออกจากสถานที่ จะต้องใช้พระสงฆ์ที่สามารถกำกับคาถา ลงอาคมได้ มาเป็นผู้ทำพิธีถอน “บาตรแตก” นั้น ออกไป และทำบุญเสริมให้กับเจ้าของบ้านเพื่อเพิ่มความสบายใจ....ในกรณีที่ไม่สามารถเห็น “บาตรแตก” ได้ แต่ทราบจากผู้ที่สามารถสัมผัสทางใน ที่เจ้าของบ้านนั้นศรัทธา ก็ต้องทำพิธีถอนเพื่อแก้ไขเช่นเดียวกัน.....
แต่ความเชื่อที่ว่ามี่ “บาตรแตก” ในบ้าน โดยเราไม่สามารถมองเห็น......ควรใช้วิจารณญาณว่าได้รับทราบจากผู้ที่เราเชื่อถือได้จริงๆ หรือไม่ เนื่องจากบางครั้ง ผู้ทำนายทายทัก อาจใช้ความคาดเดาเพียงว่า....บ้านนี้ไม่มีความสุข ได้รับความเดือดร้อน พี่น้องทะเลาะเบาะแว้งกัน จนหาความสุขไม่ได้...จึงนำไปโยงเข้ากับเรื่อง “บาตรแตก” ซึ่งอาจทำให้ผู้รับฟังเกิดความวิตก ไม่สบายใจ จนหาความสุขไม่ได้เช่นกัน....วิธีการแก้ไขก็อาจใช้วิธีเดียวกันกับกรณีไม่เห็น “บาตรแตก”แต่หากมิได้เชื่อถืออย่างจริงจังก.....หากได้รับการทำนายทายทักในเรื่องดังกล่าว อย่างน้อยที่สุดผู้ถูกทัก ก็ควรทำบุญ เสริมบารมี ให้กับตนเอง.....เท่านั้นเอง
สำหรับการทำบาตรแตกนั้นถือว่าเป็นวิชามนต์ดำที่น่ากลัวมากสำหรับการทำของใส่กัน เหตุเพราะบาตรนั้นเป็นโควจรของพระภิกษุและเป็นจุดรวมแห่งทาน หากบาตรแตกนั้นจะส่งผลถึงความอดยาก การระงับทาน ดังนั้นวิชาบาตรแตกนั้นการทำใส่กันจึงสื่อถึงความขัดสนการอยู่กินอันจะนำมาซึ่งปากเสียงกัน
การแก้ทางวิชาบาตรแตกนั้นทำได้ 4 วิธีดังนี้
1.ใช้เมล็ดข้าวและดินที่ประกอบพิธีแรกนาขวัญ ปลูกและโปรยรอบบ้าน พร้อมบริกรรมคาถาว่า "พุทโธทำให้หลุด ธัมโมทำให้ดับ สังโฆทำให้สูญ เสนียดจัญไร จงหายไปด้วย นะโมพุทธายะ ยะธาพุ ทโมนะ"
2.ใช้ตะปูสังฆวานรหรือตะปูธรรมดานำไปฝากไว้ในโบสถ์ 1 พรรษา แน้นวัดกลางที่มีการบวชและลงปาฏิโมข์ประจำ แล้วนำตะปูมาตอกที่เสาบ้าน หน้าต่าง ประตู พร้อมบริกรรมคาถาว่า "พุทโธทำให้ หลุด ธัมโมทำให้ดับ สังโฆทำให้สูญ เสนียดจัญไร จงหายไปด้วย นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ"
3.หาบาตรแตกที่ทำใส่เราแล้วห่อด้วยจีวรขาดนำไปทิ้งแม่น้ำกล่าวคำต่อพระแม่ธรณี พระแม่คงคา พร้อมบริกรรมคาถาว่า "พุทโธทำให้หลุด ธัมโมทำให้ดับ สังโฆทำให้สูญ เสนียดจัญไร จงหายไปด้วย นะโมพุทธายะ ยะธาพุทโมนะ"
4.วิธีที่หนักที่สุดแต่ไม่แนะนำให้ใช้คือการใช้ประจำเดือนแรกของสาวพรหมจรรย์ ล้างอาถรรพ์บาตรแตกที่ลงอาคมไว้ (วิธีนี้ข้าพเจ้าจะไม่ขอบอกลำดับการทำพิธี เพียงแต่จะลงข้อมูลให้ครบเท่านั้น)
*** ควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน
ข้อมูลจากเพจ อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง