- 01 ก.ย. 2564
ผอ.สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาการสอบสวนฯ สำนักงานอัยการสูงสุด ชี้ไบโพลาร์ไม่ใช่โรคจิต แต่เป็นเรื่องอารมณ์ขึ้นลงสุดขั้ว ใช้อ้างยกเว้นความผิดไม่ได้ ลั่นแบ็กใหญ่แค่ไหนก็ช่วย "ผู้กำกับโจ้" ไม่ได้
จากกรณีข่าวดัง พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ "ผู้กำกับโจ้" อดีตผู้กำกับการ สภ.เมืองนครสวรรค์ ผู้ต้องหาในคดีร่วมกันกับพวกรวม 7 คน ถูกออกหมายจับคดีใช้ถุงดำคลุมหัวผู้ต้องหายาเสพติดจนเสียชีวิต ก่อนที่จะมีการหลบหนี ต่อมาได้มีจับกุมผู้กระทำความผิดได้ทั้งหมด และได้มีการแถลงข่าวพร้อมให้นักข่าวสอบถามด้วยการโฟนอิน ต่อมามีกระแสข่าวว่า ผู้กำกับโจ้ มีประวัติเคยรักษาโรคไบโพลาร์ ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งมาสักระยะหนึ่งแล้ว และต้องกินยาอยู่เรื่อย ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะนำประเด็นนี้มาต่อสู้ในชั้นศาล
ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 ส.ค. 64 ในรายการโหนกระแส "หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย" เป็นผู้ดำเนินรายการ ได้เชิญ "ดร.น้ำแท้ มีบุญสล้าง" ผอ.สถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาการสอบสวนฯ และดำเนินคดี สำนักงานอัยการสูงสุด มาสัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าว
อาจารย์เป็นหนึ่งที่นั่งที่มีการแถลงข่าว?
ดร.น้ำแท้ : ใช่ครับ
ขอถามตรงไปตรงมา กรณีอดีตผกก.โจ้ สุดท้ายมีการแจ้งข้อกล่าวหาอะไรกันแน่?
ดร.น้ำแท้ : ตั้งข้อหาไว้ว่าพฤติการณ์ในการเอาถุงคลุมหัว เป็นการพยายามทำให้คนขาดอากาศโดยเฉียดตายถึงที่สุด โดยวิธีการทารุณโหดร้าย เป็นเจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล โดยวิธีการทรมานทารุณโหดร้าย
โทษหนักมั้ย?
ดร.น้ำแท้ : โทษสูงสุดคือประหารชีวิต ต้องเข้าใจว่าตอนนี้มีการถกเถียงว่าเจตนาหรือไม่ ประเด็นนี้ดูว่าการที่เขาเอาถุงคลุมหัวคน เขารู้มั้ยว่าทำให้คนขาดอากาศ และรู้มั้ยว่าการขาดอากาศทำให้คนตายได้ แล้วเจตนาเขาต้องการให้คนขาดอากาศถึงที่สุดใช่มั้ย ตรงนี้เราเห็นแล้วมีเจตนาทำให้ทรมานถึงที่สุด ข้อหาเขาจึงเล็งเห็นได้ว่าคนนี้อาจจะตาย เขาทำให้เฉียดตายที่สุดเพื่อให้คายบางอย่างมา จึงเป็นข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผลด้วยวิธีการที่ทารุณโหดร้าย
ถ้าเขาอ้างเขาทำไปเพราะช่วยเหลือประเทศชาติ ช่วยเหลือพี่น้องชาวนครสวรรค์ ในการทำหน้าที่แต่พลาด เขาอ้างได้มั้ย?
ดร.น้ำแท้ : ปกติผู้ต้องหาสามารถปฏิเสธได้ แต่เจ้าหน้าที่ ผู้ดำเนินคดีจะเชื่อหรือไม่เชื่ออีกประเด็นนึงครับ
ในวันที่มีการแถลงข่าว ผบ.ตร. เอาผกก.โจ้มาโฟนอิน สิ่งที่เขาพูดมาวันนั้นค่อนข้างชัดว่าเขาทำเอง ลูกน้องเป็นคนทำตาม เขาเป็นนาย เขายอมรับทั้งหมด รวมถึงวิธีการไปคลุมเขาไม่เจตนา เขากลัวผู้ตายเห็นหน้าถึงคลุมถุง 6 ชั้น และท่านผบ.เตือนแล้วว่าพูดอะไรมาเป็นหลักฐานได้หมด ล่าสุดมีประเด็นข่าวว่าผกก.โจ้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา?
ดร.น้ำแท้ : การที่เขาบอกว่าเขาทำด้วยตัวคนเดียว สั่งลูกน้องทำ ในคลิปมันชัดเจนว่าใครช่วยอะไรบ้าง ส่วนลูกน้อง ในการทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ต้องเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ขัดกับศีลธรรม กรณีนี้เป็นข้ออ้างที่ลูกน้องใช้ไม่ได้ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเขารับผิดคนเดียว เป็นเรื่องที่กฎหมายจะเอาผิดใครบ้าง
เขาโชว์แมน?
ดร.น้ำแท้ : ไม่มีประโยชน์ในทางคดีเลย
ลูกน้องอีก 5 คนก็โดนแน่?
ดร.น้ำแท้ : ใครทำเท่าไหร่ก็รับผลไปตามนั้น ดูตามคลิปว่าใครทำมากทำน้อยต่างกัน
คนยืนดู?
ดร.น้ำแท้ : การลงโทษก็น้อยหน่อย แต่ข้อหาเดียวกัน
ตอนนี้แจ้ง 4 ข้อหา?
ดร.น้ำแท้ : มีทั้งทำลายหลักฐาน แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ให้แพทย์ผู้ชันสูตรศพเข้าใจผิดคิดว่าตายเพราะเสพยา นี่คือปกปิดการตาย มีเรื่องของปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นความผิดที่พฤติการณ์ประกอบ ส่วนการแจ้งข้อกล่าวหายังไม่ยุติ ถ้าพบการกระทำความผิดใดเพิ่มอีกก็แจ้งได้อีก เช่นการฟอกเงิน แจ้งได้อีกเรื่อยๆ ครับ
บทบาทอัยการในการลงมาควบคุมการชันสูตรต้องมีด้วย?
ดร.น้ำแท้ : ครับ โดยปกติการตายโดยเจ้าพนักงานทำให้ตาย หรืออยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าพนักงาน เป็นหน้าที่อัยการต้องลงไปดู เพราะถ้าจะให้เจ้าพนักงานคนนั้น ซึ่งเป็นคนทำให้ตายเอง สอบสวนคดีเอง มันก็ไม่มีความเป็นธรรมเกิดขึ้นกับคนตาย ต้องมีฝ่ายอัยการ ฝ่ายปกครอง มีแพทย์นิติเวช มีฝ่ายตร. สี่ฝ่าย ที่ร่วมรู้เห็น ร่วมสอบสวนพยานหลักฐาน
ก่อนหน้านี้มีเรื่องยาเสพติด และผู้เสียชีวิตเสพยา ตรงนั้นเขาเอามาอ้างได้มั้ย ว่าคนร้ายคนนั้นเสพยาแล้วเสียชีวิต?
ดร.น้ำแท้ : ปกติการเอาถุงไปคลุมหัวใคร ไม่ว่าคนนั้นจะคนเสพยา คนชรา คนป่วย ถ้าเอาถุงคลุมหัว แล้วทำให้เขาขาดอากาศหายใจถึงแก่ความตาย จะเอาไปอ้างความป่วย ความแก่ชรา เขาเสพยา ไปอ้างแก้ตัวไม่ได้ เช่นเดียวกัน กรณีนี้ผลตรวจสารเสพติดมีปริมาณไม่ทำให้ถึงตายแน่นอน แพทย์ชันสูตรสี่ฝ่ายจึงลงความเห็นว่าเป็นการตายเพราะขาดอากาศหายใจ
ถุงมัดแน่นทุกชั้นหรือเปล่า?
ดร.น้ำแท้ : จริงๆ เขาอ้างว่าไม่ต้องการให้ตัวผู้ต้องหาเห็นหน้าเขา จริงๆ ใบเดียวก็ไม่เห็นหน้าแล้ว แล้วอ้างว่าผู้ต้องหาเอามือฉีกถุงเลยต้องคลุมถุงที่สอง ตรงนี้กลายเป็นพฤติกรรมที่มัดตัวเองว่าคุณต้องการให้เขาขาดอากาศจริงๆ แม้แต่รูนิดเดียวก็ยังไม่ยอมให้เขาหายใจ พฤติการณ์ตรงนี้ทำให้เห็นว่าเขาต้องการให้คนนี้ขาดอากาศหายใจ
จำนวนถุงมีผลต่อโทษมั้ย?
ดร.น้ำแท้ : ไม่มีผลต่อโทษ แต่เป็นเครื่องยืนยันว่าคุณประสงค์ให้ขาดอากาศถึงที่สุดครับ
พูดคุยกับ “นพ.ณัฐพงษ์ ตุลาพันธุ์” หัวหน้ากลุ่มงานนิติเวช รพ.สวรรค์ประชารักษ์ แพทย์ผู้ชันสูตรศพ มาวิน เหยื่อ ผกก.โจ้ สรุปเวลาเสียชีวิตแน่นอนนี่เมื่อไหร่?
นพ.ณัฐพงษ์ : วันที่เสียชีวิต คือวันที่ 6 ส.ค. 64 เวลา 13.20 น.
ก่อนหน้านั้นได้รับส่งตัวต่อมา?
นพ.ณัฐพงษ์ : ถูกต้องครับ เราได้รับแจ้งจากหนังสือส่งตัวรพ.เอกชนต้นทาง และข้อมูลจากพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ส่งศพมาในหัวช้อที่บอกว่าวิ่งหนีการจับกุมยาไอซ์ คุยๆ อยู่แล้วเป็นลมเสียชีวิตไป
ตร.อ้างอย่างนั้น มาวินวิ่งหนี ตร.วิ่งจับ มาวินเป็นลมตายไปเอง?
นพ.ณัฐพงษ์ : ใช่ครับ ที่ได้รับแจ้ง และมีเอกสารส่งตัวรพ.เอกชน เลยเป็นที่มาชันสูตรสองฝ่าย มีหมอกับตร.
ถ้าสี่ฝ่าย คนร้ายต้องอยู่ในการคุมควบของตร. แล้วเสียชีวิต จะมีสี่ฝ่าย หมอ ตร. อัยการ ฝ่ายปกครอง ตั้งแต่ปลัดขึ้นไป แต่พออันนี้ตร.แจ้งว่าเขาวิ่งไปแล้วเป็นลมตายเอง เลยไม่ได้อยู่ในการควบคุม เลยชันสูตรแค่สองฝ่ายเท่านั้น?
นพ.ณัฐพงษ์ : ถูกต้องครับ ดุลยพินิจหลักๆ ก็เป็นแพทย์และพนักงานสอบสวน ซึ่งผมได้ถามเขาแล้ว เขายืนยันว่าสองฝ่ายก็ต้องตามเขา ดำเนินตามข้อมูลที่มี
การชันสูตรเบื้องต้น ทำไมต้องผ่าศพ มีอะไรน่าสงสัย?
นพ.ณัฐพงษ์ : เคสนี้ปกติเวลาการชันสูตรพลิกศพ เราต้องตรวจรายละเอียดให้ครบตามป.วิอาญามาตรา 148 ประกอบมาตรา 154 คือต้องตอบคำถามให้ได้ว่าผู้ตายเป็นใคร ตายที่ไหน ตายเมื่อไหร่ สาเหตุการเสียชีวิตคืออะไร ส่วนใครทำก็ว่ากันไปในสำนวน แต่พอเราตรวจศพภายนอกเราไม่สามารถระบุสาเหตุการเสียชีวิตที่แน่ชัดได้ เนื่องจากกลุ่มงานนิติเวชสวรรค์ประชารักษ์เป็นกลุ่มงานที่สามารถดำเนินการผ่าศพได้ เลยต้องผ่าศพเพิ่มเติม หาข้อมูลไว้ก่อน
กรณีมาวิน ผู้เสียชีวิต เขามาอยู่สวรรค์ประชารักษ์นานกี่ชม. ถึงเสียชีวิต?
นพ.ณัฐพงษ์ : ตอนมาถึงสวรรค์ประชารักษ์ มาถึงวันที่ 5 ช่วงเวลาผมไม่แน่ใจ แต่อยู่ 10 กว่าชม. กว่าจะถึงแก่ความตาย
หมายความว่าจากสภ.นครสวรรค์ ส่งไปพริ๊นซ์ปากน้ำโพไปกู้ชีพสัญญาณชีพติดขึ้นมา แล้วส่งตัวมาสวรรค์ประชารัฐ อยู่อีก 10 ชม.ถึงเสียชีวิต?
นพ.ณัฐพงษ์ : 10 กว่าชม.ได้ครับ
ด้วยเหตุอะไรทำไมไปลงว่าพบสารแอมเฟตามีนในใบรับรองการตายครั้งแรก?
นพ.ณัฐพงษ์ : หลังจากผ่าพิสูจน์ศพเรียบร้อย ช่วงต้นเรามีการตรวจศพ อวัยวะภายในทั้งหมด โพรงทุกช่อง ต้องตรวจตามมาตรฐาน เก็บชิ้นเนื้อ ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เท่าที่จะสามารถทำได้ ทีนี้ที่จะเสร็จในวันนั้นเลยมีแค่สองอย่าง คือการตรวจศพ การดูอวัยวะภายในด้วยตาเปล่า การตรวจปัสสาวะเพื่อคัดกรองสารเสพติด เราทำได้แค่นี้ในวันที่ตรวจศพ การผ่าศพเสร็จ 7 ส.ค. เราได้ข้อมูลแค่นี้ ฉะนั้นข้อมูลแค่นี้เราก็เอามาประกอบว่าเราเจออะไรบ้าง และลงสาเหตุการตายเบื้องต้น เพื่อทำหนังสือรับรองการตายให้ญาติไปดำเนินการออกใบมรณบัตรก่อน
ผ่าวันที่ 7 แต่ใบที่เห็นลงวันที่ 6 ส.ค.?
นพ.ณัฐพงษ์ : ตัวนั้นเป็นแบบของรพ. เวลาที่เราเขียนไปเป็นเวลาที่เริ่มทำ ไม่ใช่เวลาที่ออก ซึ่งตรงนี้เหมือนกันทุกใบของรพ. สวรรค์ประชารักษ์ เป็นใบที่ลงว่าเสียชีวิต และเราก็เริ่มทำใบ แต่ทำเสร็จวันที่ 7 แล้วเริ่มเอาข้อมูลมาใส่ ส่วนเจ้าหน้าที่คนอื่นจะรวบรวมข้อมูลพื้นฐานผู้เสียชีวิตเอาไว้ก่อน ฉะนั้นใบที่เจอเป็นวันที่ 6
เป็นแบบนี้ทุกเคสมั้ย?
นพ.ณัฐพงษ์ : ทุกเคสครับ
หนังสือรับรองการตายออกวันที่ 6 วันที่เขาตาย แล้วมาผ่าวันที่ 7 ถึงย้อนกลับมาใส่ในวันที่เขียนเอาไว้แล้วคือวันที่ 6?
นพ.ณัฐพงษ์ : จะเหลือช่องตรงที่หมอเว้นไว้ แต่วันที่เขียนไว้ตรงนั้นก็เป็นสิ่งที่เราต้องไปปรับเหมือนกัน เพราะจะทำให้เข้าใจผิดแบบนี้ได้ จริงๆ เป็นวันที่เราเริ่มทำเอกสาร จริงๆ เราต้องปั๊มข้างล่างอีกทีว่าออกเมื่อไหร่อีกที ตรงนี้เราก็กำลังพิจารณากันอยู่
ต้องแนบท้ายอีกทีว่าผ่าวันที่ 7 พอไม่มีมันเป็นที่กังขาของประชาชน ว่าช่วยเหลือกันหรือเปล่า?
นพ.ณัฐพงษ์ : เข้าใจครับ แต่จริงๆ เป็นแบบนี้ทุกเคสอยู่แล้ว
ตกลงการเสียชีวิตผู้ชายที่เป็นเหยื่อผกก.โจ้ ขาดอากาศหายใจชัดเจน?
นพ.ณัฐพงษ์ : ชัดเจนครับ หลังจากที่เราได้ข้อมูลทั้งหมดอย่างที่ผมบอกไว้ตอนแรก ในเรื่องชิ้นเนื้อ ผลเลือดต่างๆ ชิ้นส่วนทั้งหมด และมีวิดีโอคลิปที่ได้มา ซึ้งทั้งหมดเรารวบรวมข้อมูล และสามารถสรุปสาเหตุการตายได้ชัดเจนขึ้นมากกว่าครั้งแรกที่เราผ่าศพ ก็ลงสรุปเลยว่าเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายใจ
อะไรสะกิดต่อมเอ๊ะคุณหมอว่าไม่ใช่เรื่องยาเสพติด แต่เป็นเรื่องขาดอากาศหายใจ?
นพ.ณัฐพงษ์ : ทำงานตั้งแต่ได้ประวัติ ตั้งแต่ได้รับทราบเรื่อง ถ้าเคสแบบนี้ปกติ ทางรพ.จะมีคุณหมอหลายท่านทำงานอยู่ และมีระบบเชื่อมโยงไปถึงรพ.เอกชน เราสื่อสารกันไว้ ถ้าเป็นเคสแปลกๆ หรือมีอะไรแบบนี้ที่ไม่ชัดเจน เกี่ยวข้องกับการกระทำเจ้าพนักงาน เราจำเป็นต้องเสาะหาข้อมูล เราจะไม่เชื่อประวัติอะไรแบบนี้อยู่แล้ว มันจึงมาจบที่สวรรค์ประชารักษ์ได้ ไม่ไปจบที่เอกชนตั้งแต่แรก
ตกลงสารเสพติดตัวนั้นมีมั้ย?
นพ.ณัฐพงษ์ : มีครับ เจอจริงๆ
ทำให้ถึงตายมั้ย?
นพ.ณัฐพงษ์ : อยู่ในระดับที่เป็นพิษ แต่รวมถึงผลที่ออกรายงานคิดว่าไม่เกี่ยว ส่วนรายละเอียดเกี่ยวไม่เกี่ยวยังไง ขอไปตอบในชั้นสอบสวนหรือชั้นศาลต่อไป
เวลาขึ้นศาลต้องขึ้นด้วย กังวลใจมั้ย?
นพ.ณัฐพงษ์ : ไม่กังวล คือข้อเท็จจริงมีชัดเจน การเก็บหลักฐานต่างๆ เราทำตรงไปตรงมา กระบวนการต่างๆ ที่ท่านรองอธิบดีภาค 6 ได้ลงมา ร่วมกับผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเมื่อวานนี้ ก็ได้เห็นกระบวนการให้ความมั่นใจได้ ถึงแม้ตอนเริ่มต้นอาจจะไม่ถูกเท่าไหร่เพราะด้วยประวัติที่ผู้ต้องหาบิดเบือนมา แต่ทั้งหมดเราต้องทำให้ถูกต้อง เพื่อให้ผู้ต้องหาได้รับโทษที่เหมาะสม
วิธีการอ้างป็นไบโพลาร์แล้วไปต่อสู้บนชั้นศาล มุมอัยการมันใช้ได้มั้ย?
ดร.น้ำแท้ : ปกติอาการไบโพลาร์ที่กฎหมายยอมรับให้อ้างได้ถ้าเขาเป็นคนโรคจิต กระทำไปโดยไม่รู้สึกตัว แบบนี้คือกระทำไปโดยไม่รู้สำนึกการกระทำ แต่ไบโพลาร์เป็นเรื่องคนมีอารมณ์ขึ้นลงสุดขั้วก็ไม่สามารถใช้ในการอ้างเป็นเหตุยกเว้นความผิดได้
ถ้าเขาอ้างเป็นไบโพลาร์ ควบคุมตัวเองไม่ได้?
ดร.น้ำแท้ : อ้างได้ แต่ไบโพลาร์ ไม่ใช่โรคจิต ไม่ได้ทำให้คนไม่รู้สำนึกในการกระทำ ตรงนี้ต้องไปสู้ทางการแพทย์ ให้แพทย์ลงความเห็นว่าถึงขั้นทำให้เขาไม่รู้สำนึกในการกระทำหรือเปล่า เช่น ทำให้เขาอยู่ในระดับเดียวกับคนที่เป็นโรคจิตหรือเปล่า
ความหนักใจคดีนี้ มีอะไรบ้าง สมมติถ้ามีแบ็ก มีผู้ใหญ่อย่างที่เขาลือๆ กัน?
ดร.น้ำแท้ : ผมพูดในหลักการทั่วๆ ไป การแทรกแซงคดีได้ต้องทำลายหลักฐาน สร้างหลักฐานเท็จ หรือบิดเบือนพยานหลักฐาน โดยทั่วๆ ไปการทำคดีให้ตรงไปตรงมาได้ ต้องไปดูที่หลักฐาน คำให้การบุคคล ถ้าพยานหลักฐานที่ได้มาครบถ้วน ภาพกล้องวงจรปิดไม่ถูกทำลาย ความจริงก็จะปรากฏ ฉะนั้นใหญ่แค่ไหนก็ช่วยไม่ได้
คดีนี้ถ้ากล้องวงจรปิดไม่เปิดเผย ลำบากมั้ย?
ดร.น้ำแท้ : ลำบากแน่นอน กรณีนี้มีการพยายามทำลายกล้อง ถือว่าทำลายหลักฐานเพื่อปกปิดการตาย แต่มีอีกกล้องอีกตัวที่เขาไม่รู้
มีข้อกฎหมายตัวไหนเข้าไปเพิ่ม เรื่องการอุ้มหรือทรมาน?
ดร.น้ำแท้ : คณะกรรมาธิการกฎหมาย ในสภาผู้แทนราษฎรได้ร่างกฎหมายฉบับนึง คือกฎหมายการซ้อมทรมาน กฎหมายฉบับนี้มีมาตรการคือเมื่อมีการจับ ต้องให้อัยการไปดูทันที นี่คือระบบสากล เขาไม่ให้คนจับที่มีอาวุธปืน มีกำลังพล มีข้อกฎหมายอยู่ในมือ ควบคุมพยานหลักฐานตั้งแต่แรก รู้อยู่คนเดียว จะต้องมีหน่วยงานอื่นมาคุ้มครองผู้ถูกจับ คุ้มครองอะไรบ้าง มีการแจ้งข้อหาเกินสมควรหรือเปล่า มีการทำร้ายร่างกายเขาหรือเปล่า มีการบังคับขู่เข็นเขาหรือเปล่า ตรงนี้ในต่างประเทศจะไม่เกิดเหตุการณ์ตายแบบนี้ เพราะเวลาจับจะดึงหน่วยงานอื่นมาดูทันที
พูดคุยในสายกับ “ธีรยุทธ แก้วสิงห์” ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน พิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ โฆษกกระทรวงยุติธรรม เห็นบอกว่ากำลังจะมีการผลักดันกฎหมายฉบับใหม่ว่าด้วยเรื่องการทรมาน อุ้มหาย จริงเท็จยังไง?
ธีรยุทธ : เนื่องจากประเทศไทยเราเป็นภาคีอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน เมื่อปี 2550 มีการลงนามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคล หรือเรียกง่ายๆ ว่าอนุสัญญาอุ้มหาย เมื่อม.ค. 55 ผลจากการเข้ากลุ่มภาคีและลงนามสัญญาดังกล่าว มันทำให้ประเทศไทยออกกฎหมายให้สอดคล้องกับอนุสัญญา ซึ่งอนุสัญญาสองฉบบนี้มีการบังคับใช้ในประเทศ ปัจจุบันประเทศไทยเราเองไม่มีกฎหมายเฉพาะ ไม่มีฐานความผิดเกี่ยวกับทรมานและอุ้มหาย รวมทั้งไม่มีมาตรการที่ครอบคลุมด้านเรื่องการป้องกัน ปราบปราม และเยียวยาผู้เสียหายจากการกระทำผิดต่างๆ ซึ่งจำเป็นต้องสอดคล้องกับหลักการอนุสัญญาสองฉบับ ตอนนี้ไทยเราเพียงใช้กฎหมายอาญาที่ใกล้เคียง ความผิดทำร้ายร่างกาย ทรมาน ความผิดต่อเสรีภาพ อาจไม่สามารถดำเนินคดีอาญาต่อผู้กระทำผิดและเยียวยาผู้เสียหายได้อย่างเหมาะสมจากการทำผิด ตามเจตนารมณ์ของอนุสัญญาสองฉบับ กระทรวงยุติธรรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ เราได้ยกร่างพระราชบัญญัติป้องกันปราบปรามทรมาน หรือทำให้บุคคลสูญหาย เข้าสู่การพิจารณาตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมา แต่เร็วๆ นี้จะได้เห็นกฎหมายฉบับนี้
กฎหมายอุ้มหายนี้ใช้กับเจ้าหน้าที่รัฐเลยหรือเปล่า?
ธีรยุทธ : โดยหลักการร่างกฎหมายฉบับนี้ ก็เป็นการบังคับใช้กับเจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้กระทำในนามเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ถูกมอบหมายให้ทำ ไม่ว่าจะสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม
ดร.น้ำแท้ : อย่าหลงประเด็นในกรณีนี้ เรามีกฎหมายเพื่อไปลงโทษคนอุ้มหาย มันเป็นปลายเหตุ กฎหมายที่ดีคือกฎหมายที่ตัดต้นเหตุ ตัดการอุ้มหาย ตัดการทรมาน ดังนั้นการใช้ฐานความผิดว่าอุ้มหายทรมาน โทษความผิดเท่านั้นเท่านี้ไม่มีประโยชน์ กฎหมายที่ดีต้องมีมาตรการการอุ้มหายอย่างมีอัยการมาดูทันที สองอย่างต่างประเทศเขาบังคับเลย รถเจ้าหน้าที่ต้องมีกล้อง เวลาจะจับใครต้องมีกล้องถ่ายทอด บันทึกไว้หมด ถ้าไปขึ้นศาลแล้วอ้างว่าถูกเจ้าหน้าที่ทำร้าย แล้วกล้องไม่มี คุณติดคุกทุกคดี เจ้าหน้าที่ต่างประเทศกลัวมาก จะจับใครต้องเช็กกล้องให้ดี เพื่อเอาไว้ป้องกันตัวเอง เจ้าหน้าที่มีหน้าที่พิสูจน์ว่าไม่ได้ใช้กำลังกับเขา
ตอนนี้คดีผกก.โจ้ ถูกโอนเรื่องมาที่กองปราบปราม พูดคุยกับ “พล.ต.ต.สุวัฒน์ แสงนุ่ม” ผู้บังคับการปราบปราม ที่เขาพูดกันว่าคดีนี้จะมีผู้ใหญ่ แบ็กมาช่วยเหลือ หนักใจมั้ย?
พล.ต.ต.สุวัฒน์ : ไม่หนักใจครับเพราะเราดำเนินการต่างๆ ตามพยานหลักฐานอยู่แล้ว และคดีนี้มีรองผบ.ตร.เป็นหัวหน้าคณะอยู่แล้ว
ตอนนี้แจ้งข้อกล่าวหาอะไรยังไง?
พล.ต.ต.สุวัฒน์ : ตามที่ทางสื่อทราบอยู่แล้ว ไม่อยากไปลงลึกตรงนั้น มีรายละเอียดต่างๆ ที่อาจแจ้งข้อหาเพิ่มอะไรต่างๆ อีกครับ
กองปราบจะไปตรวจสอบเรื่องรถหรู สามประเด็น มีดำเนินคดีอาญากรณีการเสียชีวิตผู้ต้องหาค้ายาเสพติด ,ตรวจสอบรถหรูนำเข้าจากต่างประเทศ ,ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่อดีตผกก.โจ้ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร?
พล.ต.ต.สุวัฒน์ : ตอนนี้มีเบาะแส มีการร้องเรียนมาหลายช่องทาง ทางเราได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาว่าถ้ามีการแจ้งเบาะแสอะไรต่งๆ ต้องตรวจสอบทั้งหมด เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และเพื่อให้ตอบพี่น้องประชาชนได้ เพื่อให้คลายความสงสัย แต่ละเรื่องเราตรวจสอบหมด
รวมถึงธุรกิจฟอกรถด้วย?
พล.ต.ต.สุวัฒน์ : ต้องตรวจสอบว่ามีความผิดมั้ย หรือปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ ยังตอบไม่ได้ ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน
ผกก.โจ้จะถูกย้ายมากรุงเทพฯ มั้ย?
พล.ต.ต.สุวัฒน์ : คงอยู่ระหว่างขั้นตอนดำเนินการ ถ้าทุกอย่างเรียบร้อย ก็มีโอกาสย้ายมากรุงเทพฯ
เรื่องนี้กองปราบเข้ามาควบคุมจัดการดูแลเอง?
พล.ต.ต.สุวัฒน์ : เป็นคณะของสำนักงานตำรวจแห่งชาติครับ ซึ่งทางผู้บังคับบัญชาให้ความสำคัญอยู่แล้ว
ท่านเองอาจพูดอะไรไม่ได้มาก ทุกอย่างทำเป็นองค์คณะอย่างที่ท่านบอก ที่เขาพูดๆ กันว่าติดเข้าไปอยู่ไม่นานหรอก อย่างมาก 5-7 ปีก็ออกมาแล้ว มองยังไง?
ดร.น้ำแท้ : อยู่ที่ข้อหาและพยานหลักฐาน ว่าเขาทำลายหลักฐาน ทำลายกล้องวงจรปิด ปกปิดการตายก็มีโทษ เขาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบก็มีโทษ เขาฆ่าคนตายก็มีโทษ เขาฟอกเงินก็มีโทษ ฉะนั้นโทษขึ้นอยู่กับจำนวนข้อหาที่กระทำความผิด โทษจะมาเรียงๆ กัน แค่ลำพังโทษฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผลโดยวิธีทารุณโหดร้ายก็โทษสูงสุดอยู่แล้ว ถ้าเรามีพยานหลักฐานมาก พิสูจน์ความผิดได้หลายกรรม หลายวาระ ก็เอาโทษมาเรียงกระทง 3 ปี 5 ปี 10 ปี เรียงกันไป ระยะยาวก็มากขึ้น ขึ้นอยู่ที่ปริมาณข้อหา
สมมติมีคนร้ายค้ายา ปล้นฆ่า แล้วปรากฏว่าระหว่างนั้นเขากำลังหนีอยู่ ตร.อาจพลั้งมือทำเขาตาย จะเป็นบรรทัดฐานมั้ย ตร. ทุกคนอาจจะไม่กล้าทำอะไรคนร้าย?
ดร.น้ำแท้ : การยิงเขาจะยิงได้ต่อเมื่อเขายิงเรา เขาต่อสู้ ไม่งั้นยิงเขาไม่ได้ คำว่าพลั้งมือ ถ้าเขาไม่ได้สู้จะไม่มีการตายแน่นอน
ต่อให้คนร้ายเงื้อมีดจะฟัน ยิงได้มั้ย?
ดร.น้ำแท้ : ก็ยิงได้แต่โดยปกติ เจ้าหน้าที่ไม่ประสงค์เอาชีวิต เช่นถ้ามีเวลา ระยะไม่กระชั้นชิดเกินไป ถ้ายิงสกัดให้ยิงขา ไม่ให้เขาทำร้ายเรา
ถ้าคนร้ายขับรถขนยากำลังหนี ตร.ยิงปั้งๆ พลาดโดนคนขับตาย?
ดร.น้ำแท้ : ปกติควรยิงรถ ถ้าโดนคนขับตายต้องดูพฤติการณ์นั้นเป็นการพลาด รถเสียหลักหรือหักหลบทันทีทำให้วิถีกระสุนไปโดนเขาอันนี้อาจแก้ตัวได้ แต่โดยปกติถ้าคนร้ายไม่ยิงสวนมา ตร.จะไม่ประสงค์เอาชีวิตเขาครับ
ถ้าวิ่งหนีแล้วช็อกตาย?
ดร.น้ำแท้ : ถ้าเป็นความจริง ก็เป็นความตายของเขาเอง เจ้าหน้าที่ไม่มีความผิด
ยิงล้อให้หยุด พลาดโดนผู้ต้องหาตาย?
ดร.น้ำแท้ : ปกติควรยิงล้อ แต่ถ้าเขายิงสวนขึ้นมา เจ้าหน้าที่มีสิทธิ์ป้องกันตัว ถ้าไม่สวนแต่ตร.ยิงพลาดต้องดูพฤติการณ์ว่าร้ายแรงแค่ไหน คืออาจจะอ้างก็ได้ หรือตั้งใจยิงจริงแต่อ้างก็ได้
ที่ถามเพื่อให้ครบองค์ เอาไปเปรียบเทียบ เผื่อวันนึงฝั่งเขามีการอ้างว่าเขากระทำหน้าที่อยู่บังคับให้บอกที่ซ่อนของยา แสดงว่าอ้างไม่ขึ้น?
ดร.น้ำแท้ : ปกติต้องดูเท็จจริงอย่างอื่น ปกติการรีดเงินต้องรู้ปริมาณยาก่อนถึงจะรู้ปริมาณเงินว่าควรรีดสักเท่าไหร่ ทีนี้ต้องดูว่าพยานหลักฐานนั้นมีใครยืนยัน ว่ามีผลประโยชน์อยู่เบื้องหลัง
กรณีนี้ดูว่าเขารีดเงินหรือรีดยา ?
ดร.น้ำแท้ : เท่าที่เห็นยังไม่มีพยานหลักฐานตรงไหนยืนยันว่าเป็นการรีดยาหรือรีดเงิน ยังฟันธงไม่ได้ หรืออาจจะเป็นสองอย่างเลยก็ได้ ตอนนี้ยังไม่รู้อะไรเลย ไม่มีหลักฐาน
เขาจะเอามาเป็นข้อต่อสู้ได้มั้ย?
ดร.น้ำแท้ : จริงๆ เขาบอกว่ารีดยาเพื่อให้รู้สึกว่าการกกระทำนั้นไม่เลวร้ายจนเกินไป เพื่อขอความเมตตา ดุลยพนิจในการลงโทษให้ไม่ลงโทษเต็มที่ เพราะโทษเต็มที่กรณีนี้คือประหารชีวิต อาจได้รับความเมตตาลงโทษไม่ประหารเหลือจำคุกตลอดชีวิตก็ได้ ถ้าศาลเชื่อ
แต่ 5-6 ปี เดี๋ยวออกมาเดิน?
ดร.น้ำแท้ : ต้องดูข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานไปถึงไหน แต่โทษหนักสุดที่ตั้งไว้คือประหารชีวิตอยู่แล้ว ถ้า 5-6 ปีไม่น่าใช่ แต่มันมีความผิดฐานอื่นอีกเรียงกันไปอีกนะ
เรื่องนี้ยังไงเป็นไปตามข้อเท็จจริง โดนแน่ ?
ดร.น้ำแท้ : ระหว่างการสอบสวน จะมีการค้นหาพยานหลักฐานความผิดฐานอื่นๆ อีก การทำงานของเจ้าหน้าที่ก็ต้องรวบรวมให้ครบทุกฐานความผิด ต้องดูว่าหลังจากนี้ไป ในการรวบรวมพยานหลักฐาน เป็นไปเรียบร้อย ครบถ้วนหรือเปล่า