- 01 ก.ย. 2564
เตือนผู้ขับขี่ ต้องระวังเป็นพิเศษ! โดยเฉพาะช่วง 10 นาทีแรกหลังฝนตก
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุในช่วงฝนตกหนัก เนื่องจากสภาพถนนอาจลื่น แนะนำใช้ 7 วิธีขับขี่รถให้ปลอดภัย ไม่ควรขับรถเร็วขณะฝนตกหรือถนนเปียก โดยเฉพาะช่วงที่ฝนตกใน 10 นาทีแรก รถมีโอกาสลื่นไถลเสียหลักมากที่สุด เนื่องจากคราบน้ำมันและดินโคลนบนถนน ควรลดความเร็ว และหลีกเลี่ยงการแซง
(1 กันยายน 2564) นายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงนี้ประเทศไทยมีฝนตกหนักถึงหนักมาก ตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา อาจทำให้มีน้ำท่วมขังบนถนน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนได้ จากสถานการณ์อุบัติเหตุทางถนนของระบบรายงานศูนย์ข้อมูลอุบัติเหตุ เพื่อเสริมสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนน พบว่า ระหว่างวันที่ 1 มกราคม-31 สิงหาคม 2564 มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ 586,861 ราย เสียชีวิต 9,018 ราย โดยในช่วงฤดูฝนระหว่างเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2564 โอกาสเกิดอุบัติเหตุทางถนน ทำให้มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ 236,750 ราย และเสียชีวิต 3,768 ราย จึงขอให้ประชาชนที่ขับขี่ยานพาหนะบนท้องถนนในช่วงฝนตก ควรเพิ่มความระมัดระวังเป็นกรณีพิเศษ โดยการตรวจสอบสภาพรถและอุปกรณ์ให้พร้อมต่อการใช้งานในฤดูฝน เช่น ที่ปัดน้ำฝน ระบบไฟฟ้า ระบบยาง ระบบเบรก และไม่ควรขับรถเร็วขณะฝนตกหรือถนนเปียก
“ ในช่วงที่ฝนตกใน 10 นาทีแรก เป็นช่วงที่รถมีโอกาสลื่นไถลมากที่สุด เนื่องจากน้ำฝนจะชะล้างคราบน้ำมันและฝุ่นละอองที่ติดอยู่บนพื้นถนน ทำให้เกิดเป็นเสมือนแผ่นฟิล์มฉาบอยู่บนผิวถนน อาจส่งผลให้รถลื่นและเสียหลักจนเกิดอุบัติเหตุได้ จึงต้องเพิ่มความระมัดระวังในการขับขี่เป็นพิเศษ” นายแพทย์ปรีชา กล่าว
ทางด้าน นายแพทย์สุทัศน์ โชตนะพันธ์ ผู้อำนวยการกองป้องกันการบาดเจ็บ กล่าวแนะนำผู้ขับขี่เพิ่มเติมว่าขณะขับขี่ควรปฏิบัติตาม 7 วิธีในการขับขี่ให้ปลอดภัยช่วงฝนตกและมีน้ำท่วมขังบนถนน ดังนี้
1. เพิ่มความระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษ โดยลดความเร็วรถ ใช้ความเร็วที่เหมาะสมไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะช่วยให้สามารถควบคุมรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. เปิดไฟหน้ารถเสมอ โดยเปิดไฟต่ำ ซึ่งจะช่วยให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆ บนถนนได้ชัดเจนขึ้น และให้รถคันอื่นมองเห็นรถของเราได้ในระยะไกล
3. เปิดใบปัดน้ำฝน โดยปรับระดับความเร็วของใบปัดน้ำฝนให้สัมพันธ์กับความแรงและปริมาณของฝนที่ตกลงมา ช่วยให้เราสามารถมองเห็นเส้นทางได้ตลอดเวลา
4. เว้นระยะห่างจากท้ายรถคันหน้าให้มากกว่าปกติ อย่างน้อย 10-15 เมตร เพื่อให้มีระยะเบรกที่เพียงพอและปลอดภัย เนื่องจากสภาพถนนที่เปียกและลื่น
5. หลีกเลี่ยงการแซง แต่หากจำเป็นควรประเมินสถานการณ์ให้ดีก่อนแซง
6. ในกรณีที่รถลื่นไถลหรือเหินน้ำ ไม่ควรเหยียบเบรกจนล้อหยุดหมุนทันที เพราะอาจทำให้รถพลิกคว่ำได้ ควรใช้เกียร์ต่ำ และค่อยๆเบรกเพื่อลดความเร็ว จนกว่ารถจะทรงตัวได้ แล้วจึงค่อยเหยียบเบรกเพื่อหยุดรถ
7. เมื่อต้องขับรถผ่านถนนที่มีน้ำท่วมขัง ขอให้หยุดประเมินสถานการณ์ หากระดับน้ำสูงกว่าขอบประตูรถ ไม่ควรขับฝ่าไป ควรเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นแทน ทั้งนี้ หากพบเห็นผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ให้โทรหมายเลข 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือจากทีมแพทย์กู้ชีพทันที