โชเฟอร์แท็กซี่กับลูกชายกลายเป็นกลุ่มเสี่ยงเพราะรพ.เรียกให้ไปรับผู้ป่วยโควิดแต่ไม่บอก

ผู้สื่อข่าวรายงาน เปิดใจแท็กซี่รับผู้ป่วยโควิดส่งบ้านเสี่ยงโควิดยกครัว ร้องขอโรงพยาบาลอย่าปกปิดข้อมูลหากเรียกแท็กซี่ให้ส่งผู้ป่วย โดยสืบเนื่องจากกรณีเพจเฟสบุ๊กสายไหมต้องรอดได้มีการไลฟ์สดการเข้าช่วยเหลือครอบครัวติดโควิดทั้งบ้าน 9 ชีวิต

งผู้เป็นแม่ เพิ่งกลับจากโรงพยาบาลย่านสายไหมช่วงบ่ายแต่อาการทรุดหายใจไม่ออก และทราบจากปากลูกสาวมีแท็กซี่มาส่งแม่และเกรงว่าแท็กซี่คันดังกล่าวจะไปรับผู้โดยสารคนอื่นต่อและรับเชื้อไปด้วย


 

ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อเวลา 14.30 น. นายธัชชัย เจริญสุข อายุ 49 ปี โชเฟอร์แท็กซี่ เขียวเหลือง กรุงเทพมหานคร พร้อมลูกชายวัย 7 ขวบ ได้เดินทางเข้าพบนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ และนายอนุสรณ์ ยั่งยืน ผู้ช่วยสส.เขตสายไหม และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เพื่อแสดงตัวว่าเป็นรถคันที่รับผู้ป่วยโควิดคนดังกล่าวไปส่งบ้าน

ซึ่งก่อนการเข้าพบทางทีมงานสายไหมต้องรอดได้ให้เจ้าหน้าที่ที่สวมใส่ชุดป้องกันการติดเชื้อนำอุปกรณ์มาตรวจอัตราการเต้นของหัวใจ และค่าออกซิเจนในเลือด รวมถึงนำชุดตรวจ ATK มาทำการตรวจหาเชื้อให้ ทั้งพ่อและลูก เบื้องต้นมีผลเป็นลบ

นายเอกภพ กล่าวว่า เมื่อวานนี้ทางเพจสายไหมต้องรอดได้รับการประสานงานจากญาติผู้ป่วยโควิดรายหนึ่งซึ่งมีผู้ติดเชื้อทั้งหมด 9 คน ได้ไปรักษาที่โรงพยาบาล 3 คน อีก 6 คนต้องรักษาตัวที่บ้าน กระทั้งช่วยเช้าวานนี้ ( 3 กันยายน ) คุณยายที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลได้กลับบ้านก่อน ซึ่งขั้นตอนการรักษานั่นยังไม่ครบ 14 วัน มีการตรวจพบเชื้อวันที่ 27 สิงหาคม ที่ผ่านมาซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 10 กันยายน แต่เมื่อวานนี้ทางโรงพยาบาลได้ให้คุณยายกลับบ้านโดยอ้างว่าปอดดีขึ้นแล้ว และจำเป็นจะต้องนำเตียงให้ผู้ป่วยรายอื่นใช้ต่อ

 

 

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือแทนที่โรงพยาบาลจะนำรถของโรงพยาบาลเองไปส่ง แต่กลับเรียกรถแท็กซี่มารับไปส่งเอง เมื่อผู้ป่วยขึ้นรถตลอดทางมีอาการอาเจียน และไอ จนถึงบ้านพักผู้ป่วยซอยสายไหม 58 ที่สำคัญไปกว่านั้นโชเฟอร์แท็กซี่ได้พาลูกชายวัย 6 ขวบขึ้นรถมาด้วย เพราะไม่มีคนเลี้ยง

 

เมื่อส่งเสร็จลูกสาวผู้ป่วยได้มาบอกว่าลุงทำไมไม่เปิดกระจกวิ่ง และรับมาได้ยังไง ไม่กลัวติดโควิดหรอเพราะแม่ตนไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลแล้วยังไม่หาย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงทำให้โชเฟอร์แท็กซี่คันดังกล่าว รวมถึงลูกชายวัย 7 ขวบที่นั่งมาด้วยมีความเสี่ยงสูง ทางเพจจึงมีการประชาสัมพันธ์ให้ช่วยติดตามตัวโชเฟอร์คนดังกล่าวให้มาพบ กระทั่งวันนี้โชว์เฟอร์คนดังกล่าวได้เดินทางมาพบที่ทำการเพจ เบื้องต้นได้ทำการหาที่กักตัวโชว์เฟอร์แท็กซี่ และลูกชาย ไว้ก่อนซึ่งทางโชว์เฟอร์แท็กซี่ก็ยินดีให้ความร่วมมือ และอีก 5 วันเราจะทำการตรวจหาเชื้อให้อีกครั้งหากผลตรวจพบเชื้อก็จะประสานเข้ารักษาตามขั้นตอน หากไม่พบเชื้อก็จะได้ให้กลับไปขับรถตามเดิมต่อไป

ในส่วนนี้เราอยากจะประชาสัมพันธ์ไปยังโรงพยาบาลทุกแห่งก่อนที่จะเรียกแท็กซี่ให้รับผู้ป่วย ให้บอกความจริงกับคนขับว่าผู้ป่วยรายนี้ยังรักษาตัวไม่หายจากโควิด ถ้าไม่เอารถมาส่งไม่เป็นไรแต่ต้องของคนขับให้รับรู้เพื่อป้องกัน ไม่ใช่ไม่บอกอะไรเลยทำให้เขาคิดว่าเป็นผู้ป่วยธรรมดา หรือถ้าป่วยโควิดก็ต้องหายแล้ว โรงพยาบาลถึงให้กลับบ้านได้ สุดท้ายต้องมาเสี่ยงติดเชื้อทั้งพ่อและลูก ตีฝัวพ่อเองก็ป่วยเหลือปอดเพียงข้างเดียวถ้าติดเชื้อไปจะเป็นอย่างไร

ด้านนายธัชชัย เผย ตนเองจะรอรับผู้โดยสารอยู่หน้าโรงพยาบาลเป็นปกติ ซึ่งในวันเกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลออกมาเรียกให้ตนเข้าไปรับผู้ป่วยที่ด้านหลังโรงพยาบาล ซึางตนก็พอจะรู้ว่าจุดนั่นเป็นจุดที่รับส่งผู้ป่วยโควิค ซึ่งตนก็เข้าไปจอดรอประมาณ 20 นาที เจ้าหน้าที่ก็พาผู้ป่วยออกมาขึ้นรถโดยนั่งข้างหลัง ในตอนนั้นตนมั่นใจว่าหากเป็นผู้ป่วยโควิดจริงก็คงจะหายป่วยแล้วโรงพยาบาลถึงเรียกรถแท็กซี่มารับ หากเป็นผู้ป่วยคงให้รถโรงพยาบาลรับไปส่งเอง รวมถึงเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้แจ้งอะไรกับตน ซึ่งตลอดทางป้าที่นั่งอยู่เบาะหลังมีอาการทั้งไอ ทั้งอาเจียนตลอดเวลา แต่ตนไม่ได้ถามอะไรเนื่องจากไม่กล้าพูดคุย

จนถึงบ้านพักในซอยสายไหม 58 ลูกสาวผู้ป่วยได้เดินมาถามทำไม่ไม่เปิดกระจก แม่ติดโควิดนะไม่กลัวหรอ ตนก็บอกไปว่าหมอไม่ได้บอกอะไร เมื่อส่งเสร็จตนออกมาจอดที่หน้าโรงพยาบาลแล้วรีบนำแอลกอฮอล์มาฉีดรถ จากนั้นก็กลับบ้านไม่กล้ารับผู้โดยสารเลย กระทั้งมีเพื่อมาบอกว่าทางสายไหมต้องรอดตามหาตัวจึงเดินทางมาพบ

 

 

ตอนนี้ตนมีความวิตกอย่างเดียวหากตนเองและลูกชายติดเชื้อขึ้นมาจะเอาเงินที่ไหนใช้จ่าย และที่ต้องเอาลูกมาด้วยก็เพราะไม่มีคนดูแล ภรรยาก็ต้องทำงาน ตอนนี้ก็ต้องแยกกันนอนเพราะกลัวจะติดไปด้วย อยากฝากไปยังโรงพยาบาลช่วยบอกแท็กซี่ด้วยว่าผู้ป่วยเป็นผู้ติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อ ไม่ใช่ไม่บอกอะไรเลยจนทำให้ต้องเสี่ยงไปด้วย