- 11 ก.ย. 2564
หมอถึงกับโพสต์ชม 2 พส. ให้คำแนะนำชาวเน็ตป่วยซึมเศร้า รู้เลยว่าเข้าใจและมองโลกได้ตามความเป็นจริง ไม่เน้นเพียงความศรัทธา
บอกเลยว่าไม่มีอะไรมาต้านได้จริงๆสำหรับ 2 พส. พระมหาไพรวัลย์ และพระมหาสมปอง ที่ได้ออกมาไลฟ์แสดงธรรมจนเป็นที่จับตามอง มีชาวเน็ตจำนวนมากกว่า 2 แสนคนเข้าไปร่วมชมไลฟ์ของทั้งสอง ซึ่งล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 10 กันยายน 2564 ที่ผ่านมามีความคิดเห็นหนึ่งขอคำปรึกษาไปว่าตนป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามา 7 ปีแล้ว เหมือนต้องการคำแนะนำ ซึ่งพระมหาไพรวัลย์ ก็ได้ให้คำแนะนำไป ซึ่งเป็นคำแนะนำที่ดีจนกระทั่งคุณหมอเจ้าของเพจดังอย่าง The Doc Life ยังหยิบยกไปพูดถึงและชื่นชม
โดยสิ่งที่พระมหาไพรวัลย์ และพระมหาสมปอง แนะนำชาวเน็ตที่ป่วยคนนี้ไปนั้น ไม่ได้บอกให้หันหน้าพึ่งธรรมะ แต่ให้ยอมรับความจริงและไปพบแพทย์เพื่อรักษา
"เราต้องยอมรับตัวเองให้ได้ว่าเราป่วย แล้วไปปรึกษาหมอ ไปหาจิตแพทย์ เข้าสู่กระบวนการรักษาให้ถูกทาง ต้องไปหาหมอนะ อย่าคิดว่าป่วยแล้วมาปฏิบัติธรรมจะหายนะ วัดเรามีแม่ชีกระโดดน้ำ มีพระผูกคอเพราะเป็นซึมเศร้า อย่าปล่อยไว้นะไปหาหมอนะ"
และยังย้ำด้วยว่าอย่าคิดว่าการไปหาหมอเป็นเรื่องผิดปกติ ขอให้ไปพบจิตแพทย์ แล้วเอาธรรมะชุบชู ปัญหาอย่างหนึ่งคือ ไม่ไปปรึกษาคนอื่น พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า กัลยาณมิตร เป็นสิ่งสำคัญ ขอให้หาคนที่ไว้ใจได้ ปรึกษาความทุกข์นั้น โดยพระมหาสมปอง ได้ระบุว่า หมอจะมียาต้านความเครียดให้ สิ่งที่เป็นคือสารเคมีในสมองผิดปกติไป ต้องพึ่งพาเรื่องการแพทย์ช่วยเป็นหลักจริงๆ
ซึ่งหมอเจ้าของเพจ The Doc Life ก็ได้พูดถึงประเด็นนี้พร้อมบอกเล่าในมุมของคนที่เคยผ่านโรคนี้มาเช่นเดียวกัน ว่า โรคซึมเศร้า หลายๆครั้ง ไม่ใช่แค่ปัญหาจากภายนอก หรือแค่เรื่องจิตใจอย่างเดียว มักเกิดจากปัญหาในเรื่องของสารสื่อประสาทในสมอง โดยมีปัจจัยภายนอกเป็นตัวกระตุ้น ทำให้เกิดความเบื่อหน่อย ท้อแท้ ไร้แรงบันดาลใจในการมีชีวิตอยู่ต่อไป รู้สึกตัวเองไร้ค่า
หมอรู้ หมอเคยเป็น
สมัยแอดมินเป็นโรคซึมเศร้า ด้วยปัญหาที่บ้าน ด้วยความผิดพลาด ผิดหวังในหลายๆอย่าง ประกอบกับ การเรียนที่หนัก สอบถี่ ไม่มีเวลาให้พักใจ ...สิ่งที่แอดมินทำ คือการบอกพ่อแม่ ระบายปัญหา สิ่งที่อัดอั้นตันใจ หวังว่าท่านจะช่วยอะไรได้บ้าง ซึ่งท่านก็ช่วยได้บ้างแม้จะไม่ทั้งหมด แต่อย่างน้อย ท่านก็ช่วยผ่อนคลายจิตใจเราไปในส่วนหนึ่ง "การเล่า การระบายให้คนที่เราไว้ใจ" เป็นหนึ่งในข้อที่สำคัญ
ขณะเดียวกัน เมื่อพ่อแม่เอาไปปรึกษาญาติพี่น้องคนอื่นเรื่องปัญหาของเรา สิ่งที่พวกเขาแนะนำคือ ลองไปเข้าค่ายธรรมะ วิปัสสนามั้ย ลองไปเล่นโยคะมั้ย ไปเข้าวัด สนทนาธรรมกับพระอาจารย์มั้ย ซึ่งถามว่า ลองทำมั้ย ...ทำหมด หวังว่าจะผ่อนคลายอารมณ์ได้ดีขึ้น เข้าใจชีวิตได้มากขึ้น
สุดท้าย สิ่งที่เรารับรู้ได้ คือ...วิธีนี้ ไม่ได้เหมาะกับตัวเรา ..เข้าค่ายธรรมะ วิปัสสนา ช่วยผ่อนคลายได้บ้าง แต่สุดท้าย เราต้องไปถูกบีบรัด ด้วยกฏระเบียบ ที่ทำให้เราอึดอัดในค่ายนั้นอยู่ดี....เล่นโยคะ ตอนเล่นคลายความฟุ้งซ่านได้บ้าง แต่พอเล่นเสร็จ เครียดยิ่งกว่าเดิม เหนื่อย ปวดเมื่อยตัว หงุดหงิด นอนไม่หลับ ...เข้าวัดสนทนาธรรม อาจเพราะไม่ได้พบพระอาจารย์ที่เทศนาได้เก่งอะไรมากมาย เรากลับยิ่งรู้สึกว่า ท่านเข้าใจแต่เพียงทฤษฎี ท่านดูไม่มีประสบการณ์จริงที่พร้อมจะเข้าใจเราจริงๆเลย กลับยิ่งรู้สึกว่า ไม่มีใครเข้าใจเรา มากไปใหญ่ ทุกคนส่งมอบสิ่งที่ตนเองคิดว่าดี แต่เราตีความไปว่า พวกเขา "ยัดเยียด"สิ่งที่ตัวเองคิดว่าดี ให้เราทำ
สุดท้าย สิ่งที่ช่วยแอดได้ คือ มานั่งทบทวนตัวเอง ว่า "ณ ตอนนี้ เราต้องการอะไร" และ "อะไรที่เราสามารถทำเพื่อสนองความต้องการนั้นได้" จั่วหัวมาแต่แรกแล้วว่า เครียดมาก เรียนหนัก สอบถี่ ไม่มีเวลาพักใจ จึงตัดสินใจ ดรอปเรียน และปรึกษาอาจารย์จิตเวช รับการรักษาอย่างจริงจัง
ทุกวันนี้ หายขาด และจิตใจค่อนข้างแข็งแกร่งและเข้าใจโลกมากกว่าเดิม เราเศร้ากับเรื่องต่างๆยากขึ้น เราใช้เหตุผลในการใช้ชีวิตมากขึ้น เราเติบโตมาได้ จากการผ่านมันมา อย่างถูกวิธี ...จากทวีตนี้ บ่งบอกได้ชัดเจนว่า พระมหาไพรวัลย์ เข้าใจ และมองโลกได้ตามความเป็นจริง ไม่เน้นเพียงความศรัทธา
อย่างที่ท่านบอก แม้แต่คนที่บวช ปฏิบัติธรรมตลอดเวลา ยังหนีความทุกข์ไม่พ้น แต่ไม่ใช่ว่า การปฏิบัติธรรมช่วยอะไรไม่ได้ เน้นย้ำอีกครั้งว่า "วิธีที่เราทำ เหมาะกับตัวเรามั้ย?" บางครั้ง ศรัทธา ก็ช่วยให้เรามีหวัง ช่วยเยียวยาจิตใจ แต่ก็ไม่ได้เหมาะกับทุกคน....
อ้อ อีกอย่าง บางคนอ่านบทความมาถึงตรงนี้ อาจรู้สึกเล็กๆได้ว่า ตอนนั้นแอดมินมีอคติกับวิธีการหรือเปล่า เลยไม่โอเคกับวิธีนั้นๆ บอกเลยว่า "มี" แต่ถามว่า เมื่อเรามีภาวะซึมเศร้า คนที่เคยเป็น จะรู้ว่า อารมณ์ อคติ ตรรกะที่ผิดเพี้ยน เกิดขึ้นได้ตลอดเวลากับคนที่มีภาวะนี้ พอเราหาย มองย้อนกลับไป เรายังคิดเลยว่า ตอนนั้นทำอย่างนั้นไปได้ยังไงนะ ตอนนั้น ทำไมคิดไม่ได้นะ
ไม่มีใคร เอาชนะสารสื่อประสาทในสมองได้หรอกครับ ซึ้งในรสพระธรรมแค่ไหน ถ้าสารสื่อประสาทมากหรือน้อยไป อารมณ์ก็จะมาเหนือเหตุผลของคุณเองโดยอัตโนมัติ
ธรรมะ คือ ความธรรมดา ความธรรมดา เป็นธรรมชาติของทุกสิ่ง หมอรู้ หมอเข้าใจ เพราะหมอเคยเป็น และ....หมอผ่านมันมาได้แล้ว
ขอบคุณ The Doc Life