- 07 พ.ย. 2564
ตำรวจกองกำกับการ 4 กองปราบ...รวบสาวแสบปลอมเฟซบุ๊กพูดคุยแสร้งทำเป็นรัก หลอกเอาเงินผู้เสียหายไปกว่า 10 ล้านบาท
วันนี้ (7 พ.ค.) ที่ กองบังคับการตำรวจปราบปราม หรือ บก.ป. ถนนพหลโยธิน ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการ 5 กก.4 บก.ป. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สืบสวน 1 บก.สส.ภาค 2 เข้าทำการจับกุม นางสาวชนกนันท์ (สงวนนามสกุล) อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดบุรีรัมย์ที่ 252/2565 ลงวันที่ 6 พ.ย.2564 โดยกล่าวหาว่า "นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม โดยน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน และฉ้อโกง" โดยสามารถจับกุมตัวได้ที่บริเวณหน้าโรงแรมในเมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
สำหรับการจับกุมในครั้งนี้สืบเนื่องมาจาก เมื่อประมาณต้นเดือนมิถุนายน 2564 ผู้เสียหายได้รู้จักกับผู้ต้องหาผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยผู้ต้องหาได้ใช้รูปของหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งมิใช่ตนเอง อ้างตนว่าชื่อ น.ส.นัดดาฯ โดยในระหว่างที่ติดต่อพูดคุยกันในช่วงแรก ผู้เสียหายได้โอนเงินตามที่ผู้ต้องหาร้องขอ เนื่องจากผู้ต้องหาอ้างว่ามารดาเดือดร้อนต้องการใช้เงิน ผู้เสียหายจึงได้โอนเงินผ่านเข้าบัญชีธนาคารจำนวนหลายครั้ง รวมเป็นเงินประมาณ 210,700 บาท
ต่อมาผู้ต้องหาได้ทำทีพูดคุยตกลงหมั้นหมายกับผู้เสียหาย ทางผู้เสียหายจึงยกเงินจำนวนดังกล่าวให้ไป โดยให้ถือว่าเป็นค่าสินสอดทองหมั้น
หลังจากนั้นผู้เสียหายกับผู้ต้องหาก็ได้ติดต่อพูดคุยกันผ่านเฟซบุ๊กเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2564 ผู้เสียหายได้ตรวจพบว่าระหว่างวันที่ 19-30 มิถุนายน 2564 ยอดเงินในบัญชีธนาคารของผู้เสียหายจำนวน 2,641,000 บาท ได้ถูกโอนผ่านไปยังบัญชีผู้อื่น จำนวน 10 ครั้ง เป็นเงินจำนวน 2,500,000 บาท ผู้เสียหายจึงได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนติดตามหาตัวคนร้าย โดยในระหว่างนั้นเองผู้ต้องหาได้ติดต่อมายังผู้เสียหายและยอมรับว่าตนเป็นคนโอนเงินจำนวนดังกล่าวไปเพื่อซื้อที่ดินกับต้นไม้ พร้อมขอร้องไม่ให้ผู้เสียหายดำเนินคดีกับตน โดยอ้างว่าต่อไปผู้ต้องหาก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันกับผู้เสียหายอยู่แล้ว และในส่วนของเงินที่เอาไปนั้นผู้ต้องหาจะรีบนำมาคืนให้โดยเร็ว ผู้เสียหายจึงไม่ดำเนินคดีตามคำขอของผู้ต้องหา
ต่อมาผู้ต้องหาก็ได้ออกอุบายหลอกลวงผู้เสียหายอีกครั้ง โดยอ้างว่าอยากเปิดโรงงานและจดทะเบียนการค้าเพื่อทำธุรกิจ จึงขอให้ผู้เสียหายช่วยเหลือค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ ผู้เสียหายจึงได้ให้ผู้ต้องหาดำเนินการนำที่ดินของผู้เสียหายเนื้อที่ 9 ไร่ ไปประกาศขายในราคาไม่ต่ำกว่าไร่ละ 1,700,000 บาท หากขายได้ก็จะแบ่งเงินช่วยเหลือในการทำธุรกิจดังกล่าว ซึ่งต่อมาประมาณช่วงเดือนตุลาคม 2564 ผู้ต้องหาอ้างกับผู้เสียหายว่าสามารถขายที่ดินแปลงดังกล่าวได้แล้วในราคา 16,700,000 บาท และได้นัดหมายให้ผู้เสียหายไปทำสัญญาโอนขายที่ดินให้กับผู้ซื้อรายหนึ่งที่สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ โดยในวันทำสัญญาโอนขายที่ดิน ผู้ต้องหาอ้างกับผู้เสียหายว่า ผู้ซื้อได้โอนเงินค่าซื้อขายที่ดินเข้าบัญชีธนาคารของผู้เสียหายครบถ้วนแล้ว ผู้เสียหายจึงยอมลงชื่อในสัญญาโอนขายที่ดินดังกล่าว
แต่ภายหลังจากนั้นผู้เสียหายพบว่าผู้ต้องหามีพฤติกรรมเปลี่ยนไป จึงทำการตรวจสอบยอดเงินในบัญชีธนาคารของตนเอง แต่กลับพบว่าไม่มีเงินค่าซื้อขายที่ดินโอนเข้าบัญชีธนาคารของผู้เสียหายแต่อย่างใด ผู้เสียหายจึงได้สอบถามไปยังผู้ซื้อที่ดิน จนทราบว่าผู้ต้องหาได้เสนอขายที่ดินให้กับผู้ซื้อในราคาเพียง 7,500,000 บาท และในวันทำสัญญาโอนขายที่ดิน ผู้ซื้อก็ยืนยันว่าได้มอบเงินสดจำนวนดังกล่าวให้กับผู้ต้องหาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยไม่ได้โอนเงินเข้าบัญชีธนาคารแต่อย่างใด ผู้เสียหายจึงเชื่อตนเองถูกหลอก จึงได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน และทางพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับผู้ต้องหาตามหมายจับดังกล่าว
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.4 บก.ป. และ กก.สืบสวน 1 บก.สส.ภาค 2 ได้สืบทราบว่าผู้ต้องหาได้เดินทางมาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่เมืองพัทยา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำกำลังออกติดตาม จนกระทั่งสามารถจับกุมตัวได้ที่บริเวณหน้าโรงแรมในเมืองพัทยา อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เบื้องต้นจากการสอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ให้การสารภาพตลอดข้อกล่าวหา จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป