- 17 พ.ย. 2564
หนุ่มโพสต์เล่าประสบการณ์ล่าตัวคนร้าย หลังขึ้นบ้านมาขโมยสูญกว่า 3 ล้าน ทำทุกวิถีทางตามหาคนร้ายจนพบ สุดท้ายตำรวจกลับพูดให้หมดหวัง ฝากเป็นอุทาหรณ์เตือนภัยชาวเน็ต
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าเห็นใจเป็นอย่างมาก เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้มีการโพสต์เล่าประสบการณ์ล่าตัวคนร้าย หลังขึ้นบ้านมาขโมยสูญกว่า 3 ล้าน ทำทุกวิถีทางตามหาคนร้ายจนพบ สุดท้ายตำรวจกลับพูดให้หมดหวัง
โดยผู้โพสต์ระบุว่า ผมเดินทางไปแสมสารในวันที่ 26 ตุลาคม 2564 มาทราบเรื่องร้าย ๆ เช้าวันที่ 27 ตุลาคม 2564 ป้าที่อยู่ข้างห้อง โทร. มาบอกว่าห้องโดนงัด ผมก็รีบโทร. หาพี่เขยให้มาช่วยดู แล้วรีบเดินทางกลับมาทันที โดยพบว่า มีกองพิสูจน์หลักฐาน กำลังทำงานหารอยนิ้วมือกันอยู่เต็มห้อง ต่อมาเวลาเที่ยงได้เข้าแจ้งความที่ สน.ห้วยขวาง พอช่วงเย็นก็มาขอดูกล้อง 7-11 ข้าง ๆ แฟลต แต่มุมกล้องไม่เห็นทางเข้าแฟลต พบผู้ต้องสงสัย ก่อนจะสอบถามคนแถวนั้นพบว่าไม่ใช่ ต้องเริ่มหาใหม่
วันที่ 29 ตุลาคม 2564 - คนชั้น 3 เล่าเหตุการณ์วันเกิดเหตุให้ฟัง เค้ากลับเข้ามาที่เเฟลตช่วงเวลา 02.30 เดินขึ้นห้องปกติ และได้ออกมาสูบบุหรี่ช่วงเวลา 02.40 กว่า ๆ ได้ยินเสียงปั้ง ดังมาก เเต่เค้าบอกว่านึกว่าข้างแฟลตขนของอะไรเสียงดัง แล้วไม่ถึง 5 นาที ก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ขี่ออกไปทางข้างแฟลต
วันที่ 30 ตุลาคม 2564 - ขอกล้องวงจรปิดจากทางเขต ศูนย์กล้อง CCTV แต่การขอไฟล์กล้องไม่ใช่จะได้เลยต้องใช้เวลา 1-2 วัน แก็เลยกลับมาขอกล้องร้านน้ำ ย้อนดูใหม่ ก็ได้เจอมอเตอร์ไซค์ที่น่าสงสัยที่สุด ในช่วงเวลา 01.52 พบว่า ขี่เข้ามาทางเข้าแฟลต มีการขนของ ขี่มอเตอร์ไซค์ออกมาเลี้ยวไปทางหอนาฬิกา โดยมีเป้สะพาย และเวลา 02.48 มีมอเตอร์ไซค์ออกมามีของวางที่ขาเหมือนถุงขาวใหญ่ ๆ เลี้ยวออกไปทางโรงแรม ตอนนี้เลยคิดว่ามันมา 2 คน แยกกันไปคนละทาง ได้นำหลักฐานไปให้สืบดูเราเจอผู้ร้ายแล้ว
วันที่ 1-9 พฤศจิกายน 2564 - รอกล้องจากทางศูนย์ CCTV ช่วงเลิกงานก็วิ่งไล่หากล้อง ตามทางที่คิดว่ามันจะวิ่งผ่าน นั่งไล่ดูจนเจอไปเรื่อย ๆ นั่งดูคลิปจนสงสัยว่า มอเตอร์ไซค์ที่ออกไป 2 รอบ เหมือนคันเดียวกันเลย มานั่งไล่กล้องใหม่ ของทั้ง 2 รอบ ไล่ตามว่าขับไปที่ไหนบ้าง
วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 - เลยนั่งดูกล้องวนไปวนมาทั้งวัน สรุปคือคนร้ายวนมา 2 รอบ จึงได้เข้าไปตระเวนขอกล้องกับสืบ ที่ 7-11 ในซอย.. จนมาเจอตัวการเข้าจัง ๆ คันที่หนึ่ง เข้าไปมีเป้แดงสะพายหลัง (ไม่ใส่หมวกกันน็อก) เข้าไปและออกมาตัวเปล่า ไม่มีเป้ แต่ใส่หมวกกันน็อก แสดงว่าเก็บของในนี้ ภายใน 3 นาที และพบว่า มีการกลับมาเข้าซอยเดิมอีกรอบ มีของวางที่ขา พอเจอซอยที่มันเข้าไป สืบเลยแจ้งเราว่าอย่าเพิ่งเข้าไปแถวนั้นเดี๋ยวมันสงสัย ตอนนี้ทางสืบได้ทำเอกสารขอหมายศาลเพื่อเข้าตรวจค้นบ้านหลังนั้น ให้เรารอทางสืบแจ้งให้มาเซ็นเอกสาร เราก็รอ..
วันที่ 12 พฤศจิกายน 2564 - สายสืบโทร. มาบอกเราต้องมีบ้านเลขที่ถึงจะตรวจค้นบ้านนั้นได้ แล้วสืบก็ให้ดูคนที่ต้องสงสัย มีคนที่เรารู้จักด้วย (ไม่ได้เป็นเพื่อนในเฟซบุ๊ก) แต่รูปทรงแต่ละคนมันไม่ตรงกับคนร้ายในภาพที่เราหามา สืบก็บอกให้เรารอ วันอังคารที่ 16 จะเอาเอกสารขอหมายค้นไปยื่นที่ศาลให้ เราก็รอ...
วันที่ 14 พฤศจิกายน 2564 - สืบอีกคนไลน์มาบอก ได้เข้าไปตรวจค้นโดยของความร่วมมือจากเจ้าของบ้าน (ไม่รอหมายศาลแล้ว) ไม่เจอของ เราก็งงเข้าไปโดยไม่มีเราได้ไง ของจุกจิกเล็ก ๆ ตำรวจจะรู้เหรอว่าเป็นของเรา และอีกอย่างนี่มันผ่านไปกี่วันแล้ว โจรมันคงเก็บของไว้ให้มัดตัวมันหรอก ได้แต่ถ่ายรูปภายในบ้านมาให้ดู แต่ก็ไม่ได้ละเอียดอะไร ถ้าเราเข้าไปด้วยอาจจะได้เจอของบางอย่างก็เป็นได้
ทางสืบแจ้งว่าทางสืบของความร่วมมือกับเจ้าของบ้านขอตรวจค้น เจ้าของบ้านก็ยินยอมให้ตรวจค้นแต่โดยดี เลยไม่ได้แจ้งเราเพราะความเป็นส่วนตัวของเจ้าของบ้าน สุดท้ายตำรวจบอกว่า เราต้องเห็นโจรมันเข้าบ้านหลังนี้ถึงจะจับมันได้ ต้องเห็นตอนมันงัดบ้านเราถึงจะจับมันได้ นี่แหละมันเป็นช่องโหว่ของกฏหมาย ทั้ง ๆ ที่มันเลี้ยวเข้าไปเก็บของ 3 นาที ในซอยนั้นก็มีบ้านหลังเดียว นี่คือหลักฐานไม่เพียงพอ
ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่ไม่อยากให้เกิดกับบ้านใคร ทรัพย์สินทั้งหมดรวมมูลค่า ประมาณ 3 ล้านบาท ล็อกบ้านดีมาก กุญแจที่ใช้ก็ตัวละหลายร้อย ล็อกทั้งหมด 3 ชั้น แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโจรมืออาชีพ มันตัดประตูเหล็ก มันไม่ตัดกุญแจ พระองค์สำคัญที่หายไป สมเด็จเลี่ยมทอง และพระผงสุพรรณเลี่ยมทอง พระเครื่องต่าง ๆ มูลค่าหลายแสน ทองคำ สร้อย แหวน และพระที่เลี่ยม น้ำหนักรวมประมาณ 8 บาท เข็มขัดนาคโบราณ น้ำหนัก 10 บาท ดาบโบราณ เงินแบงค์เก่า เหรียญเก่า เงินเก็บที่หยอดกระปุกไว้ เลนส์กล้อง ทั้งหมดนี้ สร้างมาหามาเป็นสิบปี