- 23 พ.ย. 2564
นายสาวิทย์ พูดแล้ว! ย้ายหัวลำโพงล้างขาดทุนสะสม 14 ปี รัฐค้างจ่ายการรถไฟฯ 2 แสนล้าน เมื่อวันที่ 23 พ.ย. เฟซบุ๊ก Sawit Kaewvarn ของนายสาวิทย์ แก้วหวาน อดีตประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการรถไฟแห่งประเทศไทย
โพสต์ข้อความกรณีที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม มีนโยบายที่จะย้ายการเดินรถไฟจากสถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ไปยังสถานีกลางบางซื่อ และนำที่ดินหัวลำโพง 120 ไร่ มาพัฒนาในเชิงพาณิชย์เพื่อล้างผลการขาดทุนสะสม ระบุว่า "อย่าพูดว่าการรถไฟฯ ขาดทุน โดยไม่พูดให้หมดว่า ที่ขาดทุนนั้น ขาดทุนและเป็นหนี้เพราะอะไร นโยบายของรัฐบาลทุกยุคสมัย ให้การรถไฟฯ ให้บริการโดยสารแก่ประชาชนในราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนที่แท้จริง ความจริงคือต้นทุนดำเนินการต่อผู้โดยสาร 1 คน เดินทาง 1 กิโลเมตร การรถไฟฯ จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 2 บาทต่อกิโลเมตร แต่รัฐบาลให้การรถไฟฯ เก็บราคาค่าโดยสารเพียง 24 สตางค์ต่อกิโลเมตร จะไม่ให้ขาดทุนได้อย่างไร? และการรถไฟฯ ไม่ปรับราคาค่าโดยสารมาตั้งแต่ปี 2528 เป็นเวลากว่า 36 ปี
พ.ร.บ.การรถไฟฯ พ.ศ. 2494 มาตรา 43 ระบุไว้ว่า "รายได้ที่การรถไฟแห่งประเทศไทยได้รับจากการดำเนินงานให้ตกเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทยสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ รายได้ที่ได้รับในปีหนึ่งๆ เมื่อได้หักค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินงาน ค่าภาระต่างๆ ที่เหมาะสม เช่น ค่าบำรุงรักษา ค่าเสื่อมราคา และเงินสมทบกองทุนสำหรับจ่ายสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติงานในการรถไฟแห่งประเทศไทยและครอบครัว เงินสำรองธรรมดาซึ่งตั้งไว้เผื่อขาด เงินสำรองขยายงาน และ เงินลงทุนตามที่ได้รับความเห็นชอบตามความในมาตรา 42 แล้ว เหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ แต่ถ้ารายได้มีจำนวนไม่พอสำหรับรายจ่ายดังกล่าวนอกจากเงินสำรองที่ระบุไว้ในวรรคก่อนและการรถไฟแห่งประเทศไทยไม่สามารถหาเงินจากทางอื่น รัฐพึงจ่ายให้แก่การรถไฟแห่งประเทศไทยเท่าจำนวนที่ขาด"
แต่รัฐจ่ายไม่เต็มจำนวน จ่ายล่าช้า จนถึงปัจจุบันงบการเงินของการรถไฟฯ ที่ระบุว่า "เงินค้างรับตามกฎหมาย" ชี้ให้เห็นว่า รัฐค้างจ่ายการรถไฟฯ ตั้งแต่ปี 2550 จนถึงเดือนมิถุนายน 2564 อยู่ที่ 249,347,968,511.08 บาท (สองแสนสี่หมื่นเก้าพันสามร้อยสี่สิบเจ็ดล้านเก้าแสนหกหมื่นแปดพันห้าร้อยสิบเอ็ดบาทแปดสตางค์) ในแต่ละปี การรถไฟฯ ต้องกู้เงินเพื่อเสริมสภาพคล่องและต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้กว่าปีละ 3,000 ล้านบาท ดังนั้น เวลาพูดถึงการรถไฟแห่งประเทศไทยขาดทุนและเป็นหนี้นั้น ขอความกรุณาพูดให้ครบถ้วน การจงใจพูดไม่ครบถ้วนเท่ากับเป็นการให้ร้ายการรถไฟฯ พนักงานการรถไฟ คนรถไฟ หรือหากไม่รู้ข้อมูล ไม่เข้าใจในประเด็น ควรสอบถามข้อมูลให้ชัด มิฉะนั้นจะเข้าข่ายจงใจ เจตนา บิดเบือนสังคม
และอยากเรียนพี่น้องประชาชนให้ทราบและเข้าใจว่า อย่าเรียกร้องให้การรถไฟฯ มีกำไรจากค่าโดยสาร เพราะถ้าเก็บตามราคาต้นทุนประชาชนก็ต้องจ่ายค่าโดยสารที่แพงขึ้น ซึ่งสหภาพแรงงานรถไฟฯ มีจุดยืนมาโดยตลอดว่า ไม่เห็นด้วยในการเพิ่มภาระให้ประชาชน แต่รัฐต้องชดเชยผลการขาดทุนให้เต็มตามจำนวน และตรงเวลา และขอให้พี่น้องประชาชนอย่าเรียกร้องให้รัฐขูดรีดประชาชน หากรัฐขาดทุนนั่นหมายถึงประชาชนมีกำไร ได้ลดรายจ่ายเพื่อนำรายได้ไปหล่อเลี้ยงจุนเจือครอบครัว ไม่ใช่เฉพาะแต่การรถไฟฯ แต่ทุกรัฐวิสาหกิจควรเป็นนโยบายของรัฐ ให้รัฐวิสาหกิจเป็นเครื่องมือช่วยเหลือประชาชน ทั้งในเรื่องพลังงาน ขนส่ง โทรคมนาคม เกษตรกรรม พาณิชยกรรม บริการ และอื่นๆ ไม่ใช่เอาเงินภาษีประชาชนไปลงทุน แต่สุดท้ายการบริหารจัดการ ประเคนให้เอกชนมาขูดรีดประชาชนของตนเองด้วย นโยบาย PPP (การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน) และแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เพราะแปรรูป ให้สัมปทานไปแล้ว คนเดือดร้อนคือพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่นั่นเอง ที่ยังต้องดิ้นรนทำงานสร้างฐานชีวิต ฐานครอบครัว"