- 02 ธ.ค. 2564
"หมอธีระ" รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุ เรื่อง การควบคุมป้องกันภาวะคุกคาม โอไมคอน
"หมอธีระ" รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ ระบุข้อความว่า
2 ธันวาคม 2564
ที่ผ่านมา เรามักจะได้เห็น และเรียนรู้ถึงช่องโหว่ของนโยบายและมาตรการ เวลาที่เจอปัญหาวิกฤติคุกคามใหม่เกิดขึ้นมาเสมอ ไม่ว่าจะตั้งแต่ระลอกแรก ระลอกสอง ระลอกสาม จนมาถึงโอไมครอนครั้งนี้
ระลอกแรก สัมพันธ์กับปัญหาช่วงเวลาในการตัดสินใจปิดกั้นการเดินทางจากต่างประเทศ รวมถึงความพร้อมของระบบ ทั้งในเรื่องการตรวจ การติดตาม และการดูแลรักษา แต่โชคดีที่มีกระบวนการผลักดัน ชี้นำนโยบาย และตัดสินใจดำเนินการล็อคดาวน์ได้ทันเวลา จึงคุมได้ในเวลาไม่นาน
ระลอกสอง สัมพันธ์กับปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย และทิศทางการควบคุมป้องกันโรคที่ไม่สามารถตัดวงจรการระบาดได้ ทำให้เกิดผลลัพธ์คือการติดเชื้อใหม่อย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสปะทุซ้ำเป็นระยะ
ระลอกสาม สัมพันธ์กับปัญหาสายพันธุ์ใหม่ทั้งอัลฟ่าและเดลต้าที่มีประสิทธิภาพในการแพร่กระจายไวขึ้นกว่าเดิม ป่วยและตายมากขึ้นกว่าเดิม และที่สำคัญที่สุดคือเรื่องการวางแผนและดำเนินนโยบายด้านวัคซีน ดังที่ทราบกัน จนเห็นผลลัพธ์ในช่วงที่ผ่านมา และทำให้ทุกฝ่ายตระหนักถึงความสำคัญ และร่วมด้วยช่วยกันในการจัดหาวัคซีนทางเลือกต่างๆ เข้ามาหลากหลายช่องทางจนถึงปัจจุบัน
และในปัจจุบันที่โลกกำลังเจอโอไมครอน ที่เป็นสายพันธุ์ล่าสุดที่ได้รับการประเมินจากองค์การอนามัยโลกว่าเป็นความเสี่ยงสูงที่จะระบาดทั่วโลก
การจะควบคุมป้องกันภาวะคุกคามนี้และภาวะคุกคามในอนาคตได้นั้น ต้องมีความแข็งแกร่งและมั่นคงในนโยบายและมาตรการป้องกันด้านต่างๆ ต่อไปนี้
1. ระบบการตรวจคัดกรองโรคสำหรับคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะทางบก น้ำ หรืออากาศ จำเป็นต้องเข้มงวด ไม่หลงต่อกิเลสที่จะโกยเงินจากการท่องเที่ยวจนยอมแลกกับความเสี่ยงต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของทุกคนในสังคม
การตรวจด้วยวิธีมาตรฐาน RT-PCR จำเป็นต้องทำ โดยมีระบบบริการที่มีศักยภาพที่จะตรวจได้จำนวนมากและต่อเนื่อง ทั้งสำหรับคนเดินทางเข้ามา และสำหรับรองรับในกรณีมีการระบาดในประเทศ
2. ระบบการกักตัว 14 วัน โดยตรวจ RT-PCR อย่างน้อยสองครั้งในสัปดาห์แรกและสัปดาห์ที่สอง
3. ระบบการติดตามคนที่เดินทางเข้ามาในประเทศ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะหลังเปิดประเทศ คนเดินทางเข้ามาด้วยวัตถุประสงค์ต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ความเสี่ยงย่อมมากขึ้นเป็นเงาตามตัว
หากเข้ามาแล้ว ติดตามไม่ได้เวลาเกิดเหตุจำเป็น แต่ละคนไปไหนมาไหนมาบ้าง ตอนนี้อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ กว่าจะเจออีกทีก็ตอนครบกำหนดวีซ่าและจะเดินทางกลับ ลักษณะเช่นนั้นก็เหมือนไฟป่าจะดับได้ยาก หาต้นตอสาเหตุก็ลำบาก
ดังที่เราเห็นข่าวเรื่องจำนวนคนจากกลุ่มประเทศต่างๆ ที่เดินทางเข้ามาจำนวนมากหลายร้อยคน แต่ติดตามตัวได้เพียงร้อยละ 5.23 โดยต้องประกาศผ่านสื่อสาธารณะให้กลับมาตรวจคัดกรองโรคด้วยวิธี RT-PCR อีกครั้งให้แน่ใจว่าทุกคนปลอดภัยปลอดโรค แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าคนที่เข้ามานั้นอีกเกือบร้อยละ 95 อยู่ที่แห่งหนตำบลใด เหมือนรอแบบ passive ไม่สามารถ proactive ไปหาเค้าได้
เรื่องนี้ชี้ให้เราเห็นว่าระบบที่ดำเนินการไปตามนโยบายกระตุ้นธุรกิจและท่องเที่ยวนั้น หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมาเช่นนี้ ก็ไม่สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามที่ควรจะเป็น
ประเด็นต่างๆ ข้างต้นนั้น หยิบยกขึ้นมาเพื่อให้เรียนรู้ เห็นถึงความสัมพันธ์ตั้งแต่กระบวนการวางแผนนโยบาย กระบวนการดำเนินงาน ผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบที่เกิดขึ้น และน่าจะเป็นบทเรียนที่ล้ำค่ายิ่งสำหรับทุกประเทศในการทบทวนสิ่งที่ได้ทำมา ที่ดำเนินการอยู่ และที่ควรจะดำเนินการต่อไปในอนาคต
สถานการณ์ข้างต้น จึงย้อนกลับมาที่ประชาชนทุกคน ที่จำเป็นจะต้องคอยเป็นหูเป็นตา ช่วยกันสอดส่องดูแล ตระหนักถึงช่องโหว่ของระบบที่มี และความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในสังคม โดยจำเป็นจะต้องป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัดเป็นกิจวัตร ทั้งนายจ้าง ลูกจ้าง ลูกค้า และประชาชนทั่วไป
ตราบใดที่สงครามยังไม่จบ การวางแผนด้วยจุดยืนที่ไม่ประมาท ย่อมมีโอกาสปกป้องสวัสดิภาพและความปลอดภัยในชีวิตของพลเมืองได้ดีกว่าเสมอ
ด้วยรักและห่วงใย