สาวตกใจ สวมเสื้อครอปท็อปเข้าคอนโด ถูกจนท. ดุเสียงดัง บอกแต่งตัวให้มิดชิด

กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างมากในโลกออนไลน์ขณะนี้ เมื่อผู้ใช้ Tiktok รายหนึ่งได้โพสต์คลิปพูดระบุว่า เธอไปรับกุญแจห้องในคอนโดฯแห่งหนึ่ง ย่านทองหล่อ แต่กลับถูกผู้ชายคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของคอนโด บอกกับเธอว่า ครั้งหน้าขอให้แต่งตัวสุภาพมิดชิดกว่านี้ เพราะที่นี่มีผู้หลักผู้ใหญ่อยู่เยอะ เกรงว่าจะไม่สุภาพ 

 

 

โดยการแต่งตัวของเธอในวันนั้นเป็นลักษณะการสวมใส่กางเกงขายาว รองเท้าผ้าใบ และเสื้อกล้ามแบบครึ่งตัว เนื่องจากเป็นวันหยุดพักผ่อน ซึ่งเธอมองว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการลิดรอนสิทธิส่วนบุคคล เพราะสถานที่ดังกล่าวเป็นที่พักอาศัย นอกจากนี้ หากเข้าไปชม Tiktok ของเธอก็จะเห็นว่า เธอแต่งกายแบบนี้มานานแล้ว และก็ดูเหมือนว่า เพิ่งจะเกิดปัญหา 

ทั้งนี้หญิงสาวในคลิปอายุ 24 ปี ได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า เธอกำลังจะย้ายเข้ามาพักที่คอนโดแห่งนี้ และได้โอนเงินมัดจำไปแล้ว ส่วนในวันเกิดเหตุคือวันที่ 1 มกราคม ที่ผ่านมา เธอได้เข้ามารับกุญแจห้อง พอเข้ามาถึงก็แจ้งกับพนักงานว่าจะย้ายมาอยู่ใหม่ พนักงานผู้ชายคนดังกล่าวก็บอกให้นั่งรอก่อน

แต่ปรากฏว่าชายคนดังกล่าวได้พูดด้วยว่าต่อไปถ้ามาอยู่ต้องแต่งตัวให้มิดชิดกว่านี้ ซึ่งพูดค่อนข้างเสียงดัง และท่าทางเหมือนโชว์ฟอร์มด้วย ทำให้เธอรู้สึกตกใจและเสียความมั่นใจ เพราะไม่เคยโดนทักแบบนี้มาก่อน อีกทั้งพอเดินกลับออกไป กลุ่มยามที่อยู่ตึกฝั่งตรงข้ามก็มองและซุบซิบกัน เพราะน่าจะได้ยินด้วย

 

อีกทั้งหญิงสาวคนดังกล่าวยังระบุอีกด้วยว่า รู้สึกว่าการแต่งตัวของเธอในวันนั้นก็โชว์เพียงแค่ช่วงเอว ใส่กางเกงขายาว และสถานที่ก็เป็นที่พักอาศัย เหมือนมาบ้านตัวเอง เพราะกำลังจะย้ายเข้ามาอยู่แล้ว อีกทั้งเป็นวันหยุดด้วย ดังนั้นก็น่าจะแต่งตัวแบบไหนก็ได้ ที่สำคัญไม่ใช่คนรู้จักกันมาก่อน มาทักแบบนี้มองว่าไม่สุภาพ

ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุจึงได้ทักทางคอนโดไป แต่ได้รับการชี้แจงว่าพนักงานไม่ทราบว่าเธอเป็นลูกค้า ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริง เธอจึงบอกไปว่าจะขอยกเลิกสัญญา และขอเงินมัดจำ 16,500 บาท คืนมา แต่ทางคอนโดบอกว่าไม่สามารถคืนเงินให้ได้

 

อย่างไรก็ตาม ด้านทางนิติบุคคลคอนโดดังกล่าวแล้วชี้แจงว่า พนักงานคนที่พูดคุยกับผู้เสียหาย เป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายดูแลอาคารสถานที่ ซึ่งเป็นบริษัทนอกที่ทางคอนโดจ้างมา เบื้องต้นได้ตำหนิพนักงานคนดังกล่าวแล้วและพนักงานก็ยอมรับผิดว่าไม่ควรไปพูดเช่นนั้น เพราะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และอยากขอโทษกับผู้เสียหายโดยตรง