- 06 ก.พ. 2565
สาวจุกอก ตั้งกระทู้ระบายความในใจ อยู่กินกับสามีมิจฉาชีพเกือบ 10 ปีโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายทั้งชีวิตไม่เหลืออะไรเลย
เป็นเรื่องราวที่ได้รับความสนใจในโลกออนไลน์เป็นอย่างมาก เมื่อมีสมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอมรายหนึ่งได้ตั้งกระทู้ที่มีหัวข้อว่า "ฉันอยู่กินกับมิจฉาชีพมาเกือบ 10 ปีโดยไม่รู้ตัว!" บอกเล่าเรื่องราวว่าตนเอง ถูกสามีหลอกชักชวนให้เอาเงินเก็บไปลงทุนฝากสหกรณ์ของบริษัทตนเองหลายครั้ง แต่สุดท้ายเรื่องกลับโป๊ะแตก สามีไม่ได้นำเงินของเธอไปฝาก แถมมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป จนทำให้ตัดสินใจหย่า สุดท้ายทั้งชีวตไม่เหลืออะไรเลย ซึ่งทางเจ้าของกระทู้ระบุเรื่องราวทั้งหมดดังนี้
อยากจะฝากเรื่องราวของเราไว้เป็นอุทาหรณ์ เพื่อเตือนผู้คน อันเป็นบทเรียนราคาแพงที่ต้องใช้เวลาทั้งชีวิตแลกมาและไม่สามารถจะย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้ จึงอยากให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมบ้าง มิจฉาชีพที่เรากล่าวถึงก็คือสามีของเราเอง สามีที่มีลูกด้วยกัน 1 คน เราทำงานบริษัทด้วยกันทั้งคู่ สามีเรียนจบปริญญาตรีจากสถาบันที่ดี อาชีพวิศวกร แม่สามีมีอาชีพเป็นครู พี่ชายสามีก็เป็นวิศวกร ชีวิตครอบครัวดูดี เสาร์อาทิตย์วันหยุดยาวก็ไปเที่ยว ตจว. กันเหมือนทั่วๆไป
แต่เมื่อราวปีที่ 6 ของการใช้ชีวิตคู่นั้น ช่วงเดือน ต.ค. สามีมาบอกว่าบริษัทของเขามีสวัสดิการสหกรณ์ของบริษัทให้พนักงานนำเงินไปฝากโดยจะได้ดอกเบี้ยที่มากกว่าธนาคาร และเปิดรับจำนวนจำกัด คราวนี้เปิดรับ 1 แสนบาท ชักชวนให้เรานำเงินไปฝาก (ในชื่อของเขา) ความพิเศษคือฝากตอนนี้ (เดือนต.ค. ) สิ้นปี (31 ธ.ค.) จะจ่ายดอกเบี้ยให้เลย 10 % เฉพาะปีนี้ และหากปีต่อๆไปก็จะได้ดอกเบี้ย 10 % ต่อปี จึงหลงเชื่อและได้นำเงินไปฝากจำนวน 1 แสนบาท และพอ 31 ธ.ค. สามีก็ได้นำเงิน 1 หมื่นมาคืนให้กับเราบอกว่าเป็นดอกเบี้ยที่ได้จากสหกรณ์ (ซึ่งความจริงก็คือเงินที่เอาจากเราไปมาจ่ายคืนเพียง 10% ที่เหลือเอาไปทำอะไรไม่รู้)
จนกระทั่งผ่านไป 1 ปี พอช่วงสิ้นปี ก็มาชักชวนให้ฝากอีก 1 แสน และ ช่วงกลางปี ปลายปีถัดไปก็ชักชวนให้ฝากอีกเรื่อยมา ครั้งละ 1-2 แสน จนช่วงปลายปีเริ่มมีพฤติกรรมแปลกๆด้วย คือ ไม่ค่อยกลับบ้าน อ้างว่าบริษัทให้ไปทำงานตามไซต์งานลูกค้าจังหวัดต่างๆ ทำให้ต้องไปเช่าโรงแรมอยู่ วันเสาร์ที่เป็นวันหยุดก็อ้างว่าไปทำโอที ทุกเสาร์เลย ช่วงนั้นหากไม่ได้ไปไซต์งานก็จะกลับบ้านดึกมาก ประมาณ 5 ทุ่ม ออกจากบ้าน 6 โมงเช้า แต่เราก็ยังไม่รู้ตัว
จนกระทั่งปีถัดไป ก็เริ่มมาชักชวนมากขึ้น โดยบอกว่าสหกรณ์มีดอกเบี้ยพิเศษ คล้ายเงินฝากประจำจะได้ดอกเบี้ย 14% แต่ต้องฝาก 2 ล้านขึ้นไปต่อยอด ตอนนั้นเราก็เล่นทองอยู่ ขาดทุนก็เลยคิดว่าเอามาฝากสหกรณ์นี้น่าจะดีกว่า ไม่ต้องเสี่ยงด้วย จึงได้นำเงินเก็บทั้งหมด (เดิมฝากประจำไว้ที่ธนาคาร ซึ่งเห็นว่าดอกเบี้ยต่ำมาก) มาฝากกับสหกรณ์ของสามี รวมทั้งหมดตั้งแต่ฝากมาก็ 5 ล้านกว่าบาท จากนั้นสามีเริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปชัดเจน คือ บอกว่าจะออกไปจากบ้าน และมาขอให้เราเซ็นใบหย่า โดยให้เหตุผลว่าเขาจะไปลงทุนทำธุรกิจ และจะมีการกู้เงินนอกระบบด้วย หากเขาเจ๊งเกิดเป็นหนี้เป็นสินขึ้นมา ไม่อยากให้มากระทบกับเราและลูก
เราเกิดความสงสัยว่า 1. ทำไมต้องไปทำธุรกิจ ในเมื่อครอบครัวก็ไม่ได้มีปัญหาการเงิน 2. หากไปทำธุรกิจจริง ให้เซ็นใบหย่าก็ไม่เห็นต้องแยกออกไปแล้วมาขอเลิก เขาตอบเราไม่ได้ ณ ตอนนั้น แต่มีพฤติกรรมพูดจาหยาบคายใส่ เพื่อให้เราหย่า เราก็คิดว่าคนไม่รักกันก็ไม่รู้จะยื้อไปทำไม ก็เลยไปหย่าให้ ตอนหย่าก็มีบันทึกทรัพย์สิน เราก็ถามว่าแล้วเงินในสหกรณ์จะทำอย่างไร เขาก็แจ้งนายทะเบียนให้ลงบันทึกไว้ว่าเงินในสหกรณ์เป็นเงินของเราทั้งหมด (ทั้งที่ความจริงเขาไม่ได้นำเงินเข้าไปฝากสหกรณ์อะไรนั่นเลย แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ตัว ไม่เคยเช็คกับบริษัท) แต่ทุกครั้งที่เอาเงินไปฝากเขาก็จะมีใบรับเงินจากสหกรณ์ส่งมาให้เราดู (แน่นอนว่าเป็นเอกสารที่เขาปลอมขึ้นมาเอง)
พฤติกรรมช่วงที่โอนเงินเก็บไปให้เขาทั้งหมดแล้วคือ หนักมาก คือเขาไม่กลับบ้านเลย รวมทั้งวันอาทิตย์ด้วย อ้างว่าไปไซด์งานลูกค้าตลอด และการพูดคุยเขาให้เราไปเปิดแชทของ g mail และเปิด internet banking ไว้ที่คอมพิวเตอร์ที่บ้าน เพื่อไว้โอนเงินฝากไปให้เขา การพูดคุยเขาจะคุยกับเราผ่านแชท g mail เท่านั้น โดยจะส่งเป็นข้อความเกี่ยวกับดอกเบี้ย เงื่อนไขต่างๆที่จะได้จากการฝากเงินกับสหกรณ์ของเขามาให้เราดูทางนั้น และช่วงหลังๆเริ่มมีไลน์ เขาก็ให้เราไปเปิดไลน์ไว้ และเริ่มคุยกับเราผ่านแชทเท่านั้น (เพื่อเอาไว้ส่งข้อความหลอกลวง) ปีนั้นเป็นปีที่ 9 ของการใช้ชีวิตด้วยกันมา
ตอนนั้นเรารู้สึกโดดเดี่ยวมากๆ วันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่เคยได้ไปเที่ยวเป็นครอบครัว เริ่มต้องไปกันสองคนกับลูก เพราะเขาไม่กลับบ้าน อ้างว่าไปอยู่ไซต์งานตลอด มีแต่นานๆจะโทรเข้ามาถาม (เหมือนมาดูลาดเลาว่าเรารู้ตัวแล้วหรือยัง) เป็นระยะๆ นั่นคือช่วงที่โอนเงินเก็บไปให้เขาหมดแล้ว แต่เขายังไม่ได้มาขอหย่านะคะ ชีวิตมันก็เหมือนไม่มีเขาอยู่แล้ว ทีนี้บ้านเราจะเป็นลักษณะอยู่ในซอยลึก ไม่มีรถสาธารณะ ต้องมีรถเท่านั้นจึงจะอยู่ได้ แล้วตลอดมาเราเอารถเขามาใช้ ส่วนรถของเรามันอยู่สภาพใกล้พัง สีกระเทาะหมดแล้ว ไม่ได้ใช้ไม่ได้ซ่อมอะไร ทีนี้เขาก็มาบอกให้เราเอารถไปทำสีรอบคัน ค่าใช้จ่ายเขาจะจ่ายให้ พอซ่อมเสร็จแล้ว เขาจะเอารถเขาไป แล้วจะออกจากบ้านไปถาวร ความรู้สึกตอนนั้นคือมันแย่มาก และเราไม่รู้ว่าเราทำอะไรผิด หรือเกิดอะไรขึ้นในความสัมพันธ์ และที่สำคัญสุดคือเราไม่รู้เลยว่าเงินเก็บเราทั้งหมดก็ไม่เหลือแล้วเช่นกัน คือเขาพูดแบบคนไม่มีใจ ไม่มีเยื่อใยอะไรทั้งสิ้น
ซ่อมรถรอบคันใช้เวลา 1 เดือน จำได้ว่าติดสงกรานต์ด้วย โอนเงินเก็บก้อนสุดท้ายไปเดือนมี.ค. เอารถไปซ่อมได้รถสิ้นเดือนเม.ย. พอเดือนพ.ค. ก็ไปเซ็นใบหย่าที่อำเภอ เงินค่าทำสีรอบคัน 4 หมื่นบาทที่เขาว่าจะจ่ายให้นั้น เขาจ่ายจริงค่ะ แต่มาทราบภายหลังจากการเช็คสเตทเม้นท์ธนาคารว่า ช่วงเดือนเม.ย. ของปีดังกล่าว มีการกดเงิน ATM ออกไป 4 หมื่นบาทจากบัญชีเงินเดือนของเรา โดยที่เราไม่ได้เป็นผู้กด
หลังจากที่หย่าไปเดือน พ.ค. เขาก็ยังคงไลน์มาพูดคุยเป็นระยะๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสาร์อาทิตย์กลับมาช่วยรีดผ้า พาไปเที่ยวห้างกับลูก แต่ใจเรารู้สึกขัดแย้งมากๆกับพฤติกรรมของเขา และไม่อยากไปไหนมาไหนด้วยแล้ว คิดว่าเลิกกันไปแล้วก็ไม่ควรมาติดต่ออีก ช่วงสงกรานต์ ปีใหม่ วันหยุดยาวก็ยังคงมาชวนไปเที่ยวตจว. ไปเยี่ยมแม่เขาที่ตจว. เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนผ่านไปหลายเดือนเข้า เราก็เริ่มทนไม่ได้ บอกเขาไปว่าเราไม่ต้องการติดต่อกับเขาอีก เพราะเลิกกันไปแล้ว ไม่อยากกลับบ้านแม่เขาที่ตจว. ถ้าจะมาพาลูกไปเที่ยวก็มาพาไป แต่เราจะไม่ไป มาถึงตอนนี้เราคิดว่าเขาน่าจะมาดูลาดเลามากกว่า และเพื่อมาหลอกเอาเงินจากเราอีก เพราะเราก็ยังทำงานอยู่
เราเลิกกันไปแล้วก็จริง แต่ความไว้เนื้อเชื่อใจในเรื่องเงิน หรือ เรื่องความเป็นพ่อของลูกมันยังมีอยู่เต็มเปี่ยม เราไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะหลอกเอาเงินของเรา เพราะเงินเดือนเขาก็ไม่น้อยเลย และที่ผ่านมาเขาก็เลี้ยงลูกเป็นอย่างดี เปลี่ยนผ้าอ้อม เช็ดอึ เช็ดอ้วก พาไปออกกำลังกาย ดูเขารักลูกดีมาก แต่อย่างที่บอกว่าพฤติกรรมของเขาตอนนี้มันย้อนแย้งกับที่ผ่านมามาก ๆ
หลังจากหย่า เขาก็ยังมาชักชวนเราไปฝากสหกรณ์กับเขาอีกระยะหนึ่ง และหลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นชักชวนให้เล่นหุ้น โดยเขาจะเป็นผู้เล่นให้ โดยอ้างว่าช่วงที่เขาออกจากบ้านไป ก็ไปศึกษาการเล่นหุ้น แล้วส่งรูปหน้าหุ้นที่เล่นได้เยอะมากมาให้เราดู (ซึ่งก็คงเมคขึ้นมาอีก) เราก็หลงเชื่อโอนเงินไปให้เขา จนกระทั่งเราคิดว่ามีเงินฝากกับเขาพอสมควรแล้ว จึงตัดสินใจจะลาออกจากงาน เพื่อมาเลี้ยงลูกเต็มตัว เพราะที่ผ่านมา ตั้งแต่ที่เขามีพฤติกรรมแปลกๆ เขาไม่ได้มาช่วยเลี้ยงลูกอะไรเลย เราเหนื่อยมาก เหมือนแม่เลี้ยงเดี่ยวอยู่แล้ว ที่ฝากเงินกับเขาก็หวังว่าจะได้ passive income ออกมาเลี้ยงลูก เงินทั้งหมดที่โอนให้เขาไป 8 ล้านกว่าบาท มีเงินของลูกที่หยอดกระปุกไว้ตั้งใจจะมาซื้อโน้ตบุ๊คเพื่อเรียนออนไลน์ด้วยหมื่นกว่าบาท เขาก็ไม่คืน (เคยได้ยินข่าวเด็กม.2 โดนมิจฉาชีพหลอกโอนเงินซื้อโน้ตบุ๊คมาเรียนออนไลน์ แบบเดียวกันเลย แต่นี่เป็นพ่อเขาเองที่ทำ)
สุดท้ายเราก็ไม่เหลืออะไรเลย รวมทั้งงาน ในวัย 40 กลางๆ ที่หางานยากมาก เสียดายเงินเดือนที่ผ่านมา ถ้าไม่ออกคงได้เยอะมากแล้ว ตอนนี้เราไม่มีเงินเหลือเลยต้องไปขอจากพ่อมาใช้ เป็นเงินก้อนสุดท้ายที่พ่อเคยจะให้แต่เราไม่รับ พ่อเลยเก็บเอาไว้ให้ ซึ่งไม่ได้มากมายอะไร จะซื้อจะกินอะไร ก็ไม่สะดวกใจเหมือนเคย ช่วยบอกเราทีว่าเราจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร ลูกเพิ่งเรียน ม.2 ครอบครัวของเขา (แม่ของเขาเป็นข้าราชการมีเงินบำนาญทุกเดือน) ก็ไม่เคยมาช่วยเหลืออะไร ไม่เคยแม้แต่ติดต่อมาซักกริ๊ง มาถามว่าหลานอยู่อย่างไร เราอยู่อย่างไร เหมือนจะปล่อยให้เรากับลูกอดตาย เราเคยไลน์ไปให้เขาจ่ายค่าเทอม เขาบอกว่าไม่มี แล้วเขาไม่ยุ่ง
ชีวิตเหมือนความฝัน บางครั้งอาจต้องแลกวันปีที่ผ่านไปด้วยชีวิตทั้งชีวิต กว่าจะรู้จักคนบางคนได้เป็นอย่างดี หวังว่าเรื่องของเราจะเป็นอุทาหรณ์ให้กับใครที่อาจโดนหรือกำลังจะโดนแบบเรา หากเรื่องของเราจะช่วยป้องกันภัยให้กับใครซักคนได้ ก็ขอให้ความดีตรงนี้ช่วยให้เราอยู่รอดปลอดภัยไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตด้วยเถิด
ขอบคุณ pantip.com