- 24 ก.พ. 2565
"หมอนิธิพัฒน์" รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล ได้ออกมาโพสต์ข้อความ ของการระบาด โควิด-19 ล่าสุด และภาพรวม 2 ปี ที่ผ่านมา
"หมอนิธิพัฒน์" รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล ระบุข้อความว่า
ยอดรวมวันนี้ใกล้ทะลุแนวต้านห้าหมื่นแล้ว ที่จริงยังมีคนตรวจ ATK แล้วไม่ได้รายงานเข้าระบบอีกส่วนหนึ่งไม่รู้เท่าไร ส่วนผู้ป่วยอาการรุนแรงและใส่เครื่องช่วยหายใจ ใกล้ทะลุแนวต้านที่ 1,000 และ 300 แล้วตามลำดับ การยกระดับมาตรการในภาพรวมทั้งประเทศยังอาจไม่จำเป็น แต่การยกระดับมาตรการกันเองในพื้นที่ เพราะศักยภาพการดูแลในโรงพยาบาลหลักเริ่มล้นเกิน เป็นเรื่องที่สมควรเร่งดำเนินการ เพื่อคุมเข้มเชื้อไฟที่ประทุก่อนจะไหม้ลามทุ่ง
ดังเช่นคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดขอนแก่น ประกาศงดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารในพื้นที่สีฟ้าของจังหวัดเป็นเวลา 14 วัน รวมถึงคุมเข้มกิจกรรมเสี่ยงอื่นๆ เป็นเรื่องที่ต้องชื่นชม เมื่อพบว่าเป็นต้นตอการระบาดสำคัญก็ต้องตัดไฟแต่ต้นลม และเมื่อซาไปก็ค่อยผ่อนผันอีกรอบ แต่เมื่อกลับมาใหม่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ต้องช่วยควบคุมไม่ให้มีการละเมิดมาตรการที่มีเดิมอยู่แล้ว หวังว่าจะเห็นแบบอย่างเช่นนี้อีกโดยเฉพาะในเมืองหลวงต้นตอการระบาด ส่วนการเปิดรับคนจากต่างประเทศไม่ใช่ปัจจัยการระบาดหลักในขณะนี้ จึงสมควรเดินหน้าผ่อนผันต่อได้
โบราณท่านว่า “มากหมอมากความ” คงจะจริง วานซืนรองโฆษกศบค.ต้องออกมาเตือนผ่านสื่อ ปรามนักวิขาการอย่าทำให้ประชาชนไขว้เขว แต่ไม่รู้จะไปถึงบุคคลที่ต้องการสื่อแค่ไหน หากดูในบันทึกประวัติศาสตร์หรือหนังสืออิงประวัติศาสตร์ แพทย์ที่มีชื่อเสียงในอดีต มักมีบุคลิกสองด้านที่มีเส้นบางๆ แยกได้ไม่ชัดระหว่างอัจฉริยะกับอัตนิยม (egoism) เป็นหน้าที่ของแวดวงแพทย์ที่จะต้องถ่วงดุลกันเอง และถ้าเป็นได้หน่วยงานกลางของแพทย์ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วไปของสังคม ต้องเป็นผู้นำในการประสานความเห็นต่างนี้ไปในทิศทางที่ไม่ทำให้สังคมสับสน เอ๊ะ...ชักไม่แน่ใจความเห็นตัวเองเสียแล้วที่เผยแพร่ออกไปสู่สาธารณะเรื่องเกี่ยวกับโควิด ว่าจะอยู่ฝั่ง “เกินบาท” หรือ ”ไม่เต็มบาท” กันแน่
ในประเทศอเมริกาเอง ไม่แปลกใจที่เสรีกันจนประชาชนสับสนเมื่อหมอเป็นต้นตอข่าวลือ จากโพลล์ที่สำรวจเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว กลุ่มตัวอย่าง 2,200 คน ราว 80% เห็นพ้องกันว่าควรมีมาตรการดำเนินการทางวินัยกับหมอที่ให้ข้อมูลโควิดที่บิดเบือนในเชิงวิชาการแก่สังคม โดยเฉพาะการชักชวนไม่ให้คนฉีดวัคซีนโควิด ต่อต้านการใส่หน้ากาก หรือเสนอทางเลือกการรักษาโควิด-19 ที่อาจเป็นอันตราย เพราะไม่มีศาสตร์รองรับทั้งการแพทย์แผนปัจจุบันหรือการแพทย์ทางเลือกที่ได้รับการรับรอง คาดการณ์กันว่าคนอเมริกันราว 2-12 ล้านคน ไม่ยอมฉีดวัคซีนโควิดเพราะหลงเชื่อข้อมูลที่ไม่เป็นที่ยอมรับกันในแวดวงวิชาการ
สำหรับบ้านเราตลอดสองปีกว่าที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าสังคมสับสนกันพอควรกับข้อมูลเรื่องโควิดที่แพทย์แต่ละท่านเผยแพร่ในนามปัจเจก คงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานหลักทางการแพทย์ที่จะต้องเป็นผู้ประสานความเห็นต่างให้ได้ พร้อมลงโทษผู้ละเมิดหลักการอยู่ร่วมกันและหลักการความรับผิดชอบต่อสังคมของวิชาชีพ ส่วนประชาชนตาดำๆ เช่นเราเช่นท่าน ก็คงต้องพยายามใช้วิจารณญาณในการเสพข้อมูลข่าวสารอย่างดีที่สุด
การเสมอนอกบ้านก็ยังดีกว่าพ่าย เหล่าสาวกปิศาจแดงมาช่วยกันส่งใจอีกครั้งวันที่ 16 เดือนหน้า แต่ดูแมตช์ใกล้เคียงดังรูป มันต้องฝ่าดงteenเพื่องมเข็มในมหาสมุทรชัดๆ
#เดินหน้าต่อไปไม่หวั่นไหวโควิด