กราบหัวใจเจ้าของปั๊ม ยืนยันไม่ทิ้งเด็กปั๊มถูกชน อยู่กันมานานเป็น 10 ปี

จากกรณีเกิดเหตุรถเก๋งป้ายแดงพุ่งเข้าปั๊มน้ำมันชนเด็กปั๊มขาขาด ซึ่งเหตุในปั๊มน้ำมัน ปตท. ใกล้กับปากซอยบางขุนเทียน14 โดยสภาพจิตใจของเด็กปั๊มถูกรถเก๋งชนขาขาดยังน่าเป็นห่วง เจ้าของปั๊มเล่าว่าตื่นมาเห็นขาตัวเองถูกตัดก็ร้องไห้ตลอดเวลาไม่ยอมกินข้าว เจ้าของปั๊มยืนยันไม่ทิ้ง จะหางานที่เหมาะสมให้

โดยเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2565 หลังทราบเรื่องทีมข่าวลงพื้นที่เกิดเหตุ ปั๊มน้ำมันแห่งนี้อยู่ใกล้กับปากซอยบางขุนเทียน14 ที่เกิดเหตุยังพบร่องรอยคราบเลือดอยู่ที่บริเวณพื้น ใกล้ๆ หัวจ่าย ด้านพนักงานปั๊มที่อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า ตอนเกิดเหตุไม่รู้ว่ารถมาจากทางไหน เห็นว่าพุ่งเข้ามาชนเด็กปั๊มที่เติมน้ำมันอยู่ขาขาด 1 คน และถูกชนกระเด็นได้รับบาดเจ็บอีก 1 คน ส่วนคนขับเป็นผู้หญิง หลังเกิดเหตุอยู่ในอาการตกใจ พอเห็นสภาพเด็กปั๊ม ก็เป็นลมล้มพับไป คาดว่า น่าจะเป็นมือใหม่หัดขับ

สำหรับเด็กปั๊มที่ขาขาด ทราบเบื้องต้นว่าเป็นหญิงชาวเมียนมา เจ้าหน้าที่กู้ภัย ได้นำตัวส่งโรงพยายาล

ขณะที่เจ้าของรถเก๋งคันสีขาว ซึ่งเป็นผู้โพสต์บอกเล่าเรื่องราว ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เป็นสภาพความเสียหายของรถ พร้อมข้อความว่า "ยับยิ่งกว่ายับ ซ่อมได้แล้วจะเหมือนเดิมไหม ที่มาของคำว่า แรงทะลุปั๊ม พาคนอื่นเขาซวยไปด้วย ขับไม่แข็งอย่าหาขับ คนอื่นต้องมาเดือดร้อน"
 

ล่าสุดมีการเผยสภาพจิตใจและอาการหลังผ่าตัดของเด็กปั๊ม โดยอาการล่าสุดเด็กปั๊มถูกเก๋งชนขาขาด ยังรับไม่ได้ มองไปที่ขาที่ถูกตัดเห็นว่าไม่มีขาแล้วก็ร้องไห้เสียใจหนัก ไม่ยอมกินข้าว

นายสาธร ม่วงศิริ เจ้าของปั๊ม ปตท. กล่าวว่า เหตุการณ์แบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น จึงไม่อยากต่อว่าใคร ขอให้มาช่วยดูแลน้องคนนี้กันดีกว่า โดยคนขับรถเก๋งป้ายแดง ติดต่อมาแล้ว พร้อมที่จะรับผิดชอบ โดยอาการของพนักงานปั๊ม ตอนนี้หมอได้ทำการตัดขาออกแล้ว โดยให้เหตุผลว่า ถูกกระแทกอย่างแรง ทำให้แผลบริเวณนั้นช้ำ ทำให้เนื้อบริเวณนั้นตาย จึงไม่สามารถต่อได้สำหรับขาข้างซ้าย  ส่วนขาข้างขวาที่หัก ตอนนี้ดามเหล็กภายนอกอยู่ 

 
โดยสภาพจิตใจของพนักงานที่ขาขาดค่อนข้างแย่ หลังผ่าตัดเสร็จฟื้นขึ้นมา รู้ว่าตัวเองไม่มีขาแล้ว ก็ร้องไห้อย่างเดียว ไม่ยอมกินข้าว 

นายสาธร กล่าวเพิ่มเติมว่า พนักงานปั๊มที่ขาขาด ทำงานที่ปั๊มมา 10 ปี เข้าเมืองมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ตอนนี้เป็นห่วงน้องอย่างเดียวคือ หลังจากรักษาอาการบาดเจ็บหายแล้ว คงต้องหางานที่เหมาะสมให้ ยืนยันว่าไม่ทิ้งน้อง จะดูแลน้องให้ดีที่สุด แล้วก็อยากให้คู่กรณีเข้ามาช่วยดูแลด้วย จะอาศัยประกันอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ เพราะคงต้องทำขาเทียม