- 28 มี.ค. 2565
หมอธีระ อัพเดตสถานการณ์โควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน BA.2 รุนแรงขนาดไหน ติดเชื้อแพร่ระบาดเร็วกว่าสายพันธุ์อื่นหรือไม่
วันที่ 28 มี.ค. 65 หมอธีระ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron) โดยระบุว่า อัพเดตงานวิจัยเกี่ยวกับสายพันธุ์ BA.2
Lentini A และคณะ ได้เผยแพร่ผลการศึกษาในประเทศสวีเดน ใน medRxiv เมื่อวานนี้ 27 มีนาคม 2565 พบว่า คนที่ติดเชื้อโอไมครอนสายพันธุ์ BA.2 นั้นจะมีปริมาณไวรัสในช่องคอ มากกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมอย่าง BA.1 ถึง 2 เท่า นั่นจึงเป็นหลักฐานอธิบายปรากฏการณ์ที่หลายประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญการกลับมาระบาดซ้ำมากขึ้นของโอไมครอน BA.2 ซึ่งตอนนี้เป็นสายพันธุ์หลักไปแล้ว ยิ่งปริมาณไวรัสเยอะ ยิ่งมีโอกาสแพร่ได้มาก ทั้งนี้ผลการศึกษาของสวีเดนนี้ชี้ให้เห็นปริมาณไวรัสในช่องคอ ซึ่งเป็นทางเดินหายใจส่วนบน จึงทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ง่าย ไม่ว่าจะจากการพบปะพูดคุยคลุกคลีใกล้ชิด หรือแชร์ของกินและอุปกรณ์ภาชนะที่ใช้กินดื่ม รวมถึงบุหรี่และอื่นๆ
ในขณะเดียวกัน ทาง UK HSA ก็ได้ออกตารางสรุปเกี่ยวกับความรู้ที่มีขณะนี้เรื่องสายพันธุ์ BA.2 ดังนี้
- สามารถจับกับตัวรับ ACE2 บนผิวเซลล์ได้ดีกว่า BA.1 ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะอธิบายสมรรถนะการติดเชื้อแพร่เชื้อที่มากกว่าเดิม
- อัตราการติดเชื้อไปยังผู้อื่น (secondary attack rate) สูงกว่า BA.1
- ระยะเวลานับจากวันแรกที่คนที่ติดเชื้อคนแรกมีอาการ ไปยังคนที่รับเชื้อมีอาการ (serial interval) สั้นกว่า BA.1
แม้ขณะนี้ข้อมูลเท่าที่มี จะมีแนวโน้มว่า BA.2 มีความรุนแรงไม่ต่างจาก BA.1 แต่ด้วยสมรรถนะการแพร่เชื้อติดเชื้อที่มากขึ้นกว่าเดิม จำนวนเคสที่มากขึ้นก็จะส่งผลต่อจำนวนการป่วยหรือเสียชีวิตที่อาจมากขึ้นได้
การป้องกันตัวอย่างสม่ำเสมอ เป็นกิจวัตร จึงสำคัญมาก ไทยเราตอนนี้ BA.2 ก็เป็นตัวหลักเช่นกัน และสถิติติดเชื้อรายวันและเสียชีวิตรายวันก็ติดอันดับโลกมาตลอด ใส่หน้ากาก พบปะคนเท่าที่จำเป็น ใช้เวลาสั้นๆ เลี่ยงการกินดื่มหรือแชร์ของกินของใช้ร่วมกับผู้อื่น หากไม่สบาย ควรแจ้งคนใกล้ชิด แยกจากผู้อื่น และหยุดเรียนหยุดงาน ไปตรวจรักษาให้หายดีเสียก่อน
ส่วนคนที่เคยติดเชื้อมาก่อน ก็สามารถติดเชื้อซ้ำได้ ดังนั้นจึงต้องป้องกันตัวด้วย นอกจากนี้ยังควรหมั่นตรวจเช็คสมรรถนะสุขภาพของตนเอง หากมีอะไรที่ผิดปกติต่างไปจากอดีต ควรปรึกษาแพทย์ เพราะมีโอกาสเป็น Long COVID ได้ โดยที่เกิดได้แทบทุกระบบของร่างกาย