- 24 พ.ค. 2565
สาวน้ำตาตก เดินกลับไทยในรอบ 2 ปี เจอเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ศุลกากรรื้อกระเป๋า เก็บภาษีของแบรนด์เนมกว่าครึ่งแสน!
เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ได้รับความสนใจอย่างมาก เมื่อผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งได้โพสต์แชร์ประสบการณ์ หลังเดินทางกลับไทยในรอบ 2 ปี โดยเดินทางมากับแฟนชาวต่างชาติ ก่อนเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
โดยผู้โพสต์ระบุข้อความว่า ตอนแรกว่าจะไม่พิมแต่ว่ามีคนถามเข้ามาเยอะมาก และ เราไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดกับคนอื่น เพราะมันแย่มาก เมื่อวานเป็นวันแรกที่กลับเข้าไทย ในรอบ 2 ปี ที่เหนื่อยมาก ลงเครื่องเวลาประมาณ 13.30 ไทย เดินลงมาตรวจ QR code ปกติ และผ่านด่านเข้าเมืองจนมาหยิบกระเป๋า ก็ปกติไม่มีอะไร เมื่อวานคนเยอะมากมีทั้งคนไทย และ นักท่องเที่ยวมาพอสมควร
พอหยิบกระเป๋าเสร็จเดินมาที่กรมศุลกากร แฟนเข็นรถที่มีกระเป๋า ลาก 3 ใบ ส่วนเรา เข้นรถมามีแต่กระเป๋าถือ 2 ใบ ระหว่างที่กำลังจะเดินผ่านไม่ทันไร มีคนมาดึงเราทันที ทั้งแฟนและเรา เขาบอกให้เอากระเป๋าสแกนให้หมด เรากับแฟนนำกระเป๋าให้เขาสแกน จากนั้นเขาก็เรียกเรากับแฟน เข้าห้องทันที มีเจ้าหน้าที่พาเข้าห้องหลังจากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามากัน ประมาณ 8-9 คน
แฟนกับเราตกใจมาก ทำไมต้องมากันเยอะขนาดนี้ พวกเจ้าหน้าที่ เริ่มเปิดค้นกระเป๋าทีละใบอย่างละเอียด เน้นว่า! อย่างละเอียด พวกของกินเขาไม่ยุ่งเลย ไม่ว่าจะเป็นพวกวิตามิน หรือของฝาก โสม เจ้าหน้าที่ดูแล้วผ่านๆ ไม่ถามอะไรมาก แต่ … ชิ้นไหนที่เป็น แบนรดเนมจะเอามาแยกโต๊ะทันที ในห้องนั้นมี 2 โต๊ะ อามรณ์เป็นห้องตรวจค้น
เจ้าหน้าที่แยกของที่เป็นแบรนด์เนม ได้แก่ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หมวก แว่นตากันแดด แว่นสายตา กระเป๋าตังค กางเกง และ ที่เราช้อตที่สุดคือ ให้เราถอด เครื่องประดับทั้งหมด เราตกใจเลยถาม “ทำไมต้องถอดหมดเลย” เจ้าหน้าที่ผู้ชาย บอกว่า ถอดออกมาเช้คครับ เราก็ถอดกำไล และ สร้อยคอ เขายังบอกว่า ต่างหูด้วย แหวนด้วย พอถอดออกมาหมดแล้ว ก็พาเข้าอีกห้อง เพื่อค้นร่างกาย ทั้งเราและแฟนโดนกระทำแบบนี้ทั้ง 2 คน และมีการบอกว่าไม่ให้บันทึกภาพอะไรทั้งนั้น
หลังจากที่เราถอดของออกจากตัวหมด เขาก็ทำการตรวจว่าของแต่ละชิ้นมีมูลค่าเท่าไร โดยไม่สนว่าชิ้นนั้น ใช้แล้วหรือไม่ โดยเราอธิบายว่าของทุกชิ้นใช้แล้ว เรามีหลักฐาน ยกเว้น รองเท้า 2 คู่ 1 คู่เพิ่งซื้อที่ดิวตี้ฟรีเกาหลีไม่ใช่ของเรา แฟนเราซื้อให้น้องสาวแฟนเรา (ซึ่งมีหลักฐานการคุยว่ารองเท้าคู่นั่นซื้อให้น้องสาวจริงๆ) อีกคู่ของใหม่แต่ทำส้นแล้ว จะเอามาใช้ที่ไทย ของทุกชิ้นเราอธิบายหมดแล้ว มีหลักฐานการใช้ แม้กระทั่งเสื้อผ้า มีการซักแห้งมาแล้ว มีกลิ่นน้ำยาหมด กางเกง gucci ของแฟน นางหวงเลยใส่กล่องมา ก็มีหลักฐานว่าใส่แล้ว ไม่เชื่อก้ลองดม ( แล้วมีคนหนึ่ง ดมจริง )
สักพักนึงเจ้าหน้าที่อีกคนเดินมาบอกว่า “ ของที่อยู่ตรงนี้ทั้งหมดจะถูกยึดนะคะ “ เราตกใจมากแล้วถามเจ้าหน้าที่ “ ทำไมต้องยึดค่ะ ทำอะไรผิด ใช้ของแบนรดเนมไม่ได้เลยหรือค่ะ “ เจ้าหน้าที่บอกว่า “ใช้ได้ แต่ต้องเสียภาษี คุณไม่ทราบหรือว่า ของติดตัวเข้าประเทศได้ทั้งหมดไม่เกิน 20,000 บาท “ เราบอกว่า “ แต่ดิฉันมาในฐานะนักท่องเที่ยวแล้วก็ไม่ได้อยู่ประเทศไทยด้วย มาเที่ยวไทยแล้วก็กลับของทุกชิ้นก็กลับพร้อมดิฉัน แฟนดิฉันก็ไม่ได้เป็นคนไทยทำไมต้องเสียภาษีให้”
ตอนแรกเจ้าหน้าที่ไม่ฟังเหตุผล และบอกว่าถ้าเราไม่ยอมให้ยึด จะติดแบล็คลิสไม่สามารถเข้าประเทศได้อีก เราไม่ยอมจึงปรึกษาทางพี่ๆของเรา เพราะดูแล้วเหตุการณ์แบบนี้ไม่สมควรที่จะเกิดขึ้นมาก สักพักหนึ่งทางเจ้าหน้าที่อีกคน (มันมีหลายคนมาก เพราะในห้องมาเกือบ 10 คนได้) เดินมาบอกว่า “ เอางี้ถ้าชิ้นไหนมีหลักฐานการใช้แล้ว พี่จะยอมปล่อยไป แต่ถ้าชิ้นไหนไม่มีหลักฐาน จะถูกคิดภาษี ปรากฏว่ากระเป๋า chanel เพิ่งเอามาใช้ กับ รองเท้าอีก 2 คู่ และเสื้อคลุม Gucci เพิ่งใช้ไปไม่มีรูปถ่ายมาก่อน เลยโดนภาษีไป เกือบ 7 หมื่นบาท
ยังไงก็จะคิดภาษีกับแฟนเราให้ได้ เพราะรองเท้าอีกคู่นั่น แฟนเราซื้อด้วยตัวเอง ซึ่งแฟนเราไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน โดยอัตตราการคิดภาษี กระเป๋า 20 % (+vat 7% ) รวม 27 % ส่วนรองเท้าและเสื้อผ้า 30% (+vat7%) = 37% ในตอนนั้นเราก็ยังไม่ยอม จึงยืนรอจนกระทั่ง 3 ชม มีเจ้าหน้าที่อีกกลุ่มมา เขาลดหย่อนจนเหลือ 54,000 บาท สรุปแล้ว
ต่อไปนี้ใครจะใส่แบนรดเนมต้องระวัง เพราะเขาคงจะจ้องคุณตั้งแต่ลงเครื่องแล้ว หลักฐานต้องมี ต้องแน่น มีการมาบอกเราด้วย พี่จับมากี่หลายราย พี่รู้ทุกแบนร์ด ดิฉันไม่ใช่แม่ค้า ดิฉันใช้เอง ไม่คิดจะปกปิดอะไรทั้งนั้น และที่สำคัญ คุณไม่มีสิทธิ์มาคิดภาษีกับชาวต่างชาติ มันเสียความรู้สึกมาก หากกฏข้อไหน ที่บอกให้ชาวต่างชาติห้ามนำแบนรด เนมเข้าประเทศ รบกวนช่วยแจ้งที่ค่ะ เพราะที่ประเทศเกาหลีเขาไม่ทำแบบนี้ หากคุณซื้อของดิวตี้ฟรีไทยแล้วมาเที่ยวเกาหลี คุณไม่อยากเสียภาษีเอาของเข้าประเทศ ก็ให้ฝากที่สนามบินอินชอน ขากลับคุณค่อยไปเบิกเอา โดยมีค่าฝากเท่านั้น