- 14 ก.ค. 2565
เช็ก 7 อาการเบื้องต้นโควิดลงปอด ผู้ป่วยกลุ่มไหนเสี่ยงเกิดปอดอักเสบรุนแรงมากที่สุด ต้องได้รับการรักษาด่วน
เกาะติดสถานการณ์โควิด-19 ภายหลังจากที่ประเทศไทยพบผู้ป่วยโควิดติดเชื้อโอมิครอน หรือ โอไมครอน (Omicron) สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 หลายรายต่อเนื่องก่อนนี้ ทำให้เกิดความกังวลว่าจะมีการระบาดรุนแรงภายในประเทศอีกหรือไม่ ขณะเดียวกันองค์กรอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้สายพันธุ์ย่อย BA.4 และ BA.5 เป็นสายพันธุ์ย่อยที่ต้องเฝ้าระวัง (VOC) และคาดว่าจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักของการแพร่ระบาดทั่วโลก
อันตรายของโควิดอยู่ตรงที่เชื้อไวรัสนี้มีโอกาสลงปอดได้ ฉะนั้นจึงต้องสังเกตอาการป่วยของตัวเอง เพื่อเข้ารับการรักษาโดยเร็ว ทำให้หลายคนสงสัยว่าโควิดลงปอดภายในกี่วัน ซึ่งระยะของการเกิดภาวะปอดอักเสบจากโควิด จะแบ่งออกเป็น 2 ระยะดังต่อไปนี้
- ปอดอักเสบระยะแรก : ช่วง 1-5 วัน อาการยังไม่รุนแรงมาก ผู้ป่วยอาจเริ่มมีอาการไอ
- ปอดอักเสบระยะที่สอง : ช่วง 10-15 วัน หากมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการไอถี่ หอบเหนื่อย หายใจไม่ทัน หายใจไม่สะดวก
สัญญาณเตือนของอาการปอดอักเสบ
- มีไข้ติดต่อกัน 48 ชั่วโมง
- ไอ
- มีเสมหะ
- อาจมีอาการหอบเหนื่อย
- รู้สึกหายใจต้องใช้แรงมาก
- ทำกิจวัตรประจำวันที่ปกติไม่เหนื่อย แต่ตอนนี้ทำอะไรนิดหน่อยเหนื่อยกว่าเก่า
วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นว่าเชื้อโควิดลงปอดหรือยัง
- มีอาการไข้มากกว่า 5 องศาเซลเซียส
- มีอาการไอ ทั้งไอแห้ง หรือไอแบบมีเสมหะ ถือเป็นสัญญาณสำคัญที่บอกว่าปอดเริ่มอักเสบ
- หายใจลำบาก
- รู้สึกเหนื่อย หรือหอบ
- เหนื่อยง่ายขึ้น การเดินขึ้นลงบันได้ หรือออกกำลังกายเล็กน้อย จากปกติไม่เหนื่อย ก็อาจจะเหนื่อยได้
- รู้สึกหายใจไม่เต็มปอด แน่นหน้าอก
- สำหรับผู้ที่มีเครื่องวัดออกซิเจน บุคคลปกติจะมีค่าออกซิเจนอยู่ที่ประมาณ 97-100% หากใครมีออกซิเจนต่ำอยู่ที่ 94% หรือต่ำกว่านั้น จะเป็นสัญญาณว่าเชื้อโควิดลงปอดแล้ว
กลุ่มเสี่ยงปอดอักเสบรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด-19
กลุ่มที่หากได้รับเชื้อโควิด-19 และมีความเสี่ยงที่ปอดอักเสบรุนแรง เนื่องจากแต่เดิมปอดทำงานไม่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว ได้แก่
- ผู้สูงอายุ เนื่องจากอายุที่มากขึ้นอวัยวะภายในร่างกายจะเริ่มเสื่อมสภาพลงตามไปด้วย
- ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคเกี่ยวกับปอดเรื้อรัง ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายโรค เช่น โรคถุงลมโป่งพอง, หอบหืด, หรือมะเร็งปอด เป็นต้น
- ผู้ที่มีภาวะโรคอ้วน หรือน้ำหนักเกินกว่ามาตรฐาน ระดับดัชนีมวลกาย (Body mass index) หรือ BMI ตั้งแต่ 25 ขึ้นไป
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง ที่เพิ่มความเสี่ยงปอดอักเสบ เช่น โรคตับ, ความดันโลหิตสูง, ไตวายเรื้อรัง, โรคเบาหวาน, โรคหัวใจ และมะเร็ง เป็นต้น
การปฎิบัติตัวหากเชื้อโควิดลงปอด
- จัดท่านอนให้ปอดทำงานได้ดีขึ้น กอดหมอน นอนคว่ำ เนื่องจากว่าหากนอนหงายปอด 2 ใน 3 อยู่ทางด้านหลัง ทำให้น้ำหนักตัวกับน้ำหนักของหัวใจไปกดบริเวณปอด ทำให้ปอดทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ การนอนคว่ำจะทำให้ปอด 2 ใน 3 ที่อยู่ด้านหลังไม่มีการกดทับ ปอดทำงานได้ดีขึ้น ปริมาณออกซิเจนในร่างกายก็จะสูงขึ้น
- ท่านอนให้กอดหมอนไว้ที่หน้าอก แล้วนอนคว่ำ โดยให้หน้าตะแคงไปด้านใดด้านหนึ่ง
- ถ้านอนคว่ำไม่ได้ นอนตะแคง กึ่งคว่ำ หรือเฉียงตัวประมาณ 45 องศา
- หญิงตั้งครรภ์ แนะนำให้นอนโดยตะแคงด้านซ้ายลง และเฉียงตัวประมาณ 45 องศา เพื่อช่วยให้ปอดทำงานได้ดีขึ้น
- ขยับขาบ่อย ๆ เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือด เช่น งอเข่าเข้าออก หรือเหยียดปลายเท้าแล้วดึงเข้าหาตัว ให้เกิดการเคลื่อนไหวบริเวณกล้ามเนื้อส่วนน่องและส่วนขา ทำซ้ำ ๆ บ่อย ๆ จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ช่วยป้องกันการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน
- ดื่มน้ำมากๆ ประมาณ 2 ลิตรต่อวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ เลือดไม่ข้น หรือหนืด โอกาสที่จะเกิดลิ่มเลือดก็จะลดลง และช่วยให้ไม่รู้สึกเพลียหรือมีอาการหน้ามืด แต่อย่าทานน้ำมากจนเกินไป เพราะจะทำให้เกลือแร่ในร่างกายเจือจาง ถ้าทานอาหารไม่ได้ควรดื่มน้ำเกลือแร่
- หากมียาที่ต้องทานประจำ แนะนำให้ทานยาให้ต่อเนื่อง อย่าหยุดยาเอง หากไม่มีความจำเป็นป้องกันการกำเริบของโรคประจำตัวที่มีอยู่ สำหรับยาที่อาจจะต้องพิจารณาเป็นพิเศษ หรือควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์ก่อนการปรับหรือหยุดยา ประกอบไปด้วย ยาขับปัสสาวะ ยาลดความดันโลหิตสูง ยาโรคเบาหวาน
ขอบคุณข้อมูล รพ.วิชัยเวชฯ หนองแขม
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Thainewsonline