- 22 ก.ค. 2565
"อ.เจษฎ์" ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาระบุถึงความ หลังเจอผู้ติดเชื้อโรค "ฝีดาษลิง" ในประเทศไทยเป็นรายแรก
"อ.เจษฎ์" ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ระบุข้อความว่า
วันนี้ มีข่าวเจอผู้ติดเชื้อโรค "ฝีดาษลิง" ในประเทศไทยเป็นรายแรก โดยพบที่ จ.ภูเก็ต เป็นชายชาวไนจีเรีย ที่เดินทางมาจากไนจีเรีย ซึ่งเป็นแหล่งระบาดหนึ่งของโรคนี้ เลยเอาโพสต์เก่าที่เคยเขียนไว้ มาให้อ่านกันนะครับ ว่าโรคนี้มันไม่ได้จะน่ากลัวอะไรมากนัก ไม่ได้รุนแรงมาก การติดต่อ ก็ไม่ได้ง่ายนัก ไม่ใช่แค่ไปปัสสาวะห้องน้ำเดียวกันแล้วจะติดมาง่ายๆ จากโถส้วมครับ
"ฝีดาษลิง ไม่ได้ติดกันง่ายๆ เพียงแค่โดนฉี่กระเด็นใส่ นะครับ"
ตอนนี้กระแสความกังวลเรื่อง "ฝีดาษลิง" เหมือนจะไปกันใหญ่แล้วนะครับ แน่นอนว่ามันเป็นโรคที่ถ้าเป็นขึ้นมา แล้วจะดูไม่ดีเอาเสียเลยกับการมีฝีตุ่มขึ้นเต็มตัว (เหมือนสมัยที่โรคอีสุกอีใส ยังเคยระบาดในไทย) แต่มันก็ไม่ได้จะอันตรายร้ายแรงมากนัก
โอกาสติดโรคก็ไม่ได้จะสูงมากมายอย่างโควิดนะครับ หลักๆ จะเป็นการใกล้ชิด พูดคุย คลุกคลี ใช้สิ่งของร่วมกัน สัมผัสโดนน้ำคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อแล้วมาเข้าสู่บาดแผลบนตัวเรา หรือเข้าไปทางปาก จมูก ตา ให้จำนวนไวรัสเข้าไปเยอะมากเพียงพอที่จะเป็นโรค .. ไม่ใช่ว่าโดนผิวปุ๊บ แล้วติดโรคปั๊บ
ล่าสุดนี่ เห็นคนแชร์คลิปติ๊กต๊อกเตือนเข้าห้องน้ำ แล้วจะติดโรคฝีดาษลิงได้ (ซึ่งจริงๆ ก็ยังไม่มีรายงานการระบาดในไทยนะ) อันเนื่องจากไปสัมผัสโดนฉี่ที่เปื้อนอยู่ตามฝารองนั่งชักโครก !? ทำเอาตกอกตกใจกันใหญ่ จะไม่กล้าเข้าห้องน้ำสาธารณะกัน กลัวติดฝีดาษลิง (ซึ่งจริงๆ ก็ควรทำความสะอาดอยู่แล้วนะ เวลาจะใช้เนี่ย)
ต้องขอยก“นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร” รองอธิบดีกรมควบคุมโรค ที่ให้สัมภาษณ์เรืองนี้เอาไว้นะครับ ว่า
"ความกังวลใจของคนในการเข้าห้องน้ำสาธารณะ เกรงว่าจะติดเชื้อฝีดาษลิง อยากให้เข้าใจว่าการปัสสาวะไม่ได้ฟุ้งกระจายมาก จนแพร่เชื้อหรือรับเชื้อได้ แต่อยู่ที่ตุ่มบริเวณอวัยวะเพศ หากแตกออกมาก็สามารถแพร่เชื้อได้จากการสัมผัสโดยตรง ไม่ใช่จากการปัสสาวะ จากความกลัวของหลายๆ คน"
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ thainewsonline