ทนายไพศาล พาผู้เสียหายชาวสิงคโปร์ ร้องกองปราบ กรณี ผัว-เมียคนไทย โกง 800 ล้าน

จากกรณีที่ก่อนหน้านี้ ตำรวจสากลออกหมายแดง หนุ่มสิงคโปร์และหญิงไทย ในข้อหาฉ้อโกงจากการหลอกซื้อขายนาฬิกาและกระเป๋าหรูมูลค่ากว่า 800 ล้านบาทล่าสุดผู้เสียหายบินตรงมาจากสิงคโปร์ร้องกองปราบฯ เอาผิดญาติหญิงไทยเชื่อว่ามีส่วนรู้เห็นและเกี่ยวข้อง

ล่าสุดวันนี้ (9สค.2565) ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ พากลุ่มตัวแทนผู้เสียหาย บินตรงมาจากสิงคโปร์ เพื่อเข้าร้องทุกข์ต่อกองบังคับการปราบปราม ให้ช่วยเร่งรัดติดตามจับกุมตัว 2 ผัวเมีย ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายแดงของตำรวจสากล โดยทางฝั่งเมียเป็นคนไทยและมีญาติอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี ทางผู้เสียหายเชื่อว่า บรรดาญาติ น่าจะมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดด้วย เนื่องจากก่อนหน้านี้ทางผู้เสียหายสืบทราบมาว่า ญาติของผู้ต้องหามีการซื้อทรัพย์สินทางบ้านหรูราคากว่า 60 ล้านบาท และ รถยนต์ คาดว่าน่าจะเป็นการนำเงินจากการที่ไปหลอกผู้เสียหานมาซื้อทรัพย์สินส่วนนี้ด้วย

 

 

โดยคดีนี้พลตำรวจโทจิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สั่งประชุมด่วนและพร้อมสั่งให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้เสียหาย ซึ่งทนายไพศาล ระบุว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 รายจะมีหมายแดงของตำรวจสากล แต่เพื่อให้ตำรวจไทยมีอำนาจการสืบสวนสอบสวนและจับกุมได้เต็มที่ จึงพาผู้เสียหายมาร้องที่กองปราบฯ หากการสอบปากคำพบว่ามีส่วนหนึ่งส่วนใดที่เป็นความผิดเกิดขึ้นในราชอาณาจักรไทย หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร ตำรวจไทยก็จะมีอำนาจการสืบสวนสอบสวนและดำเนินการจับกุมก่อนประสานเรื่องส่งตัวผู้ต้องหาดำเนินคดีตามกฎหมาย
 

สำหรับผู้ต้องหา 2 คนที่ตำรวจสากลออกหมายแดงคือ น.ส. แอน ศิริวิภา พันสุข” (Siriwipa Pansuk) อายุ 27 ปี หญิงไทยภรรยาของ ชายชาวสิงคโปร์เชื้อสายจีนชื่อ “เควิน พี เจียเผิง” (Kevin Pi Jiapeng) อายุ 26 ปี ซึ่งทั้งคู่ถูกตำรวจสากลออกหมายแดงเร่งติดตามจับกุมตัวในข้อหาฉ้อโกงจากการหลอกซื้อขาย นาฬิกาและกระเป๋าหรูแบรนด์เนม ผู้เสียหายกว่า 180 คน มูลค่าความเสียหายกว่า 800 ล้านบาท และทั้งคู่หนี้คดีในระหว่างประกันตัว ซึ่งข้อมูลของตำรวจสิงคโปร์ระบุว่าทั้งคู่แอบลักลอบขึ้นตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งอาหารสด หลบหนีเข้ามาในประเทศไทย ประมาณวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ยังติดตามตัวไม่ได้ แต่มีข้อมูลว่า ตำรวจไทยเคยเชิญตัว แม่ของนางสาวแอน มาสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับลูกสาวแล้วก่อนจะปล่อยตัวไป

 

 

 

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ thainewsonline