- 23 ส.ค. 2565
แม่น้องอายนักศึกษาแพทย์ปี 2 เรียกเงินเยียวยา 66 ล้าน เผยหลังเกิดเหตุ มข.ให้เซ็นรับเงินเยียวยา 1.3 แสน ลั่นการสูญเสียลูกประเมินค่าไม่ได้
แม่น้องอาย เผยหลังเกิดเหตุ มข.ให้เซ็นรับเงิน 1.3 แสน แต่ยังไม่ได้รับสักแดง สืบเนื่อง ในโลกออนไลน์แห่อาลัย น้องอาย นศพ.อรุณนภา วัฒนพานิช วัย 19 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 2 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถทัวร์ เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย และผู้เสียชีวิต 1 ราย บริเวณสามแยกหน้าคณะเภสัชศาสตร์
ล่าสุดมีรายงานว่าที่ ศปก.สภ.เมืองขอนแก่น นางนิตยา รุ่งสถิต อายุ 55 ปี มารดาของ น้องอาย นักศึกษาแพทย์ ชั้นปีที่ 2 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถบัสของคณะพยาบาลศาสตร์ ชนจนเสียชีวิต บริเวณสามแยกคณะเภสัชศาสตร์ มข.เมื่อวันที่ 10 ส.ค.65 ที่ผ่านมา เดินทางมาพร้อมด้วยครอบครัวและทนายความ เข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองขอนแก่น
ทางด้านมหาวิทยาลัยขอนแก่น (มข.) รศ.เพียรศักดิ์ ภักดี รองอธิการบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ ในฐานะตัวแทนของมหาวิทยาลัยขอนแก่น และ ผศ.ดร.พักตร์วิไล ศรีแสง คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ มข. และคนขับรถบัสคันเกิดเหตุ เดินทางมาเจรจาว่า มข.จะมีการรับผิดชอบเยียวยาแก่ครอบครัวผู้ตายในเรื่องใดบ้าง โดยมี พ.ต.อ.ปรีชาเก่งสารกิจ ผกก.สภ.เมืองขอนแก่น พ.ต.ท.สุพรรณ สุขพิไลกุล รองผกก.สอบสวน และพนักงานสอบสวน ร่วมรับฟังการเจรจาของทั้งสองฝ่ายด้วย
หลังการเจรจากว่า 4 ชั่วโมง นางนิตยา รุ่งสถิต อายุ 55 ปี แม่น้องอาย ให้สัมภาษณ์ว่า การพูดคุยในครั้งนี้ ตัวแทนมหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ให้ทางครอบครัวเป็นผู้ยื่นข้อเสนอว่า ต้องการให้ มข.ช่วยเหลืออย่างไรบ้าง ในฐานะมารดาของน้องอาย จึงบอกไปว่า อยากให้มข.คิดถึงคนทำหน้าที่แพทย์ เพราะอธิการบดี มข.ก็เป็นแพทย์ น่าจะรู้และเข้าใจว่า การจะเรียนจบและมาทำหน้าที่แพทย์เป็นอย่างไร
แม่น้องอายระบุต่อไปว่า เมื่อเป็นแพทย์ต้องทำหน้าที่อย่างไรบ้าง ขอให้เข้าใจในจุดนี้ เพราะการมาพูดคุยนั้น อยากคุยกับอธิการบดี มข. อยากรู้ความรู้สึกนึกคิด อยากรู้การแสดงออกที่เห็นว่ามีความรับผิดชอบ แต่อธิการบดีไม่มา ส่งตัวแทนมา จึงเสนอไปว่า ครอบครัวขอค่าเยียวยาการเสียชีวิตของน้องอาย กรณีที่เรียนจบแล้วได้เป็นแพทย์ ตั้งแต่อายุ 25 ปี จนถึงเกษียณอายุราชการ อายุ 60 ปี ค่าจ้างวันละ 5,000 บาท รวมเป็นเงินประมาน 66 ล้านบาท
"การเสนอค่าเยียวยาครั้งนี้ ก็รู้ว่าตัวแทนของ มข.ให้คำตอบไม่ได้ เพราะตัวแทน มข.ใช้คำว่า มข. ต้องนำเรื่องเข้าที่ประชุมของ มข.ก่อน จากนั้นก็ยื่นเรื่องเข้าที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยขอนแก่น ตามขั้นตอน ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่า สภาฯจะนำเรื่องนี้เข้าเป็นมติของที่ประชุมหรือไม่" แม่น้องอายระบุ
ทั้งนี้ แม่น้องอาย ยังกล่าวอีกว่า ตั้งแต่ลูกสาวเสียชีวิต มีเพียง คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์และเจ้าหน้าที่คณะพยาบาลที่มาดูแลเอาใจใส่ในทุกเรื่อง ต้องขอบคุณด้วย แต่อธิการบดีนั้น ไม่เคยเห็นหน้า มีเพียงเจ้าหน้าที่มาแจ้งว่า อธิการบดีไม่สบาย จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ให้เซ็นเอกสาร โดยบอกว่า เป็นเอกสารที่ มข.จะจ่ายเงินเยียวยานักศึกษาที่ศึกษาใน มข.จำนวน 130,000 บาท โดยบอกว่าจะโอนเงินเข้าบัญชีให้มารดาและบิดาคนละครึ่ง แต่ผ่านไป 12 วันแล้ว ทุกอย่างยังนิ่ง ไม่มีเงินเข้าบัญชีแม้แต่บาทเดียว
ขณะเดียวกัน ครอบครัวก็อยากได้ใบชันสูตรศพจากนิติเวช มข. เพื่อนำไปให้บริษัทประกันชีวิต เบิกเงินประกันของน้องอาย ที่อากง อาม่า ทำให้หลานสาว ขอ 3 ครั้ง ก็ยังไม่ได้ โดยได้รับคำตอบจากแพทย์นิติเวชว่า อยู่ระหว่างการส่งชิ้นเนื้อไปตรวจพิสูจน์ ก็เลยงงว่า ลูกสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ มีภาพให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้าย หรือติดเชื้อร้ายอะไร ทำไมต้องตรวจชิ้นเนื้อ ทำให้คลางแคลงใจมาก
แม่น้องอายกล่าวอีกว่า การพูดคุยวันนี้สรุปว่า ตัวแทนมข.ให้ครอบครัวยื่นข้อเสนอไป ซึ่งได้มีการนัดฟังคำตอบอีกครั้งวันที่ 12 กันยายนที่จะถึงนี้ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ อธิการบดี มข.มาพูดคุยเอง ทุกอย่างจะได้จบลง ไม่ต้องยืดเยื้อไปอีก เพราะการสูญเสียของครอบครัว ไม่สามารถประเมินค่าได้ แต่ความรับผิดชอบของ มข.สามารถประเมินได้ ถ้าหากจะลงมือทำ ไม่ใช่ปล่อยให้ยืดเยื้อ คนเป็นแพทย์ น่าจะเข้าใจครอบครัวนักศึกษาแพทย์มากที่สุด
ทั้งนี้ ก่อนที่แม่น้องอาย จะเข้าพูดคุยกับตัวแทนของ มข. ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า การเสียชีวิตของน้องอาย ประเมินค่าไม่ได้ น้องอายตั้งแต่เรียนจนเข้ามหาวิทยาลัยได้ตามเส้นทางที่น้องอยากเป็นหมอ ทุกคนในครอบครัวต่างดีใจ และภูมิใจอย่างมากที่สุด ทั้งอากง อาม่า เมื่อสูญเสียน้องอายไป ไม่ใช่แค่การสูญเสียชีวิตคนๆ หนึ่ง แต่มันสูญเสียจิตใจของคนที่เลี้ยงดูน้องอายอีกจำนวนมาก
"อธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่นก็เป็นหมอ ท่านก็น่าจะทราบดีว่าคุณภาพชีวิตหมอคนหนึ่งที่จบมาจนเกษียณอายุราชการเป็นยังไง ตนเองต้องทนฟังเสียงร้องไห้ของคนในครอบครัว อาม่าถึงขั้นขอร้องยมบาลขอให้เอาอาม่าไปแทนแล้วส่งหลานกลับมา ตนเองต้องประคับประคองคนในครอบครัวทุกคน ทั้งลูกสาวอีก 2 คน ทั้งสามี ที่ต่างอยู่ในความเสียใจกันหมด"
"เราเคยอยู่ด้วยกัน 5 คน ตอนนี้สูญเสียลูกไปแล้ว มันประเมินค่าไม่ได้ แต่ในสิ่งที่ มข.จะต้องรับผิดชอบนั้น มันเป็นสิ่งที่ประเมินเป็นตัวเลขได้ หมอคนหนึ่งที่จบออกมาได้งานทำแน่ๆ จะมีรายได้เท่าไหร่ ค่าตอบแทนเท่าไหร่จนถึงเกษียณอายุราชการ เราเข้าใจข้อเท็จจริงของทุกๆ ฝ่าย แต่เราก็ไม่อยากจะถูกทำร้ายซ้ำซ้อน กับสิ่งที่มันเลือกได้ สิ่งนี้ไม่ควรเกิดกับใคร แต่หากเกิดขึ้นแล้วมันมีหลายอย่างมาก โดยเฉพาะบอกว่าเสียใจนะ ต่อไปจะไม่ให้เกิดขึ้นอีก แต่ไม่มีเคสไหนที่ออกมาบอกว่าเราจะรับผิดชอบให้ดีที่สุด หรือแจ้งมาว่าจะรับผิดชอบอย่างไร"
แม่น้องอายยังได้ระบุอีกว่า ที่มาคุยกัน จะดูว่าทาง มข.จะดำเนินการอะไรที่เป็นการแสดงถึงความรับผิดชอบ หากหมอคนหนึ่งที่จบมา เข้ารับการทำงานเป็นหมอ รายรับรายจ่ายจะดำเนินการอย่างไร ให้เราเอาหลักฐานเข้าไปยื่น เพื่อขอเบิกกรณีที่น้องอายเสียชีวิต หลังจากที่วันแรกที่น้องอายเสียชีวิต ต่อมาวันที่ 11 ส.ค.2565 มีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานอธิการบดีเข้ามาบอกว่าจะมีเงินมาช่วยเหลือจำนวน 130,000 บาท ซึ่งเป็นส่วนของมหาวิทยาลัยให้เซ็นหนังสือไปก่อน จะได้รวดเร็วในการดำเนินการ
ซึ่งจะโอนเข้าบัญชีของพ่อและแม่น้องอายคนละครึ่งคือคนละ 65,000 บาท แต่ขณะนี้นตนเองก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะต้องการให้เสร็จสิ้นงานศพของลูกสาวก่อน อยากจะส่งลูกสาวให้เสร็จจึงจะมีการพูดคุยกันในเรื่องความรับผิดชอบ ตนเองก็เบลอๆ เซ็นไป และใครว่าอะไรมาก็ไม่ได้ขัดอะไร เวลาผ่านไป มาสะกิดใจว่าอธิการบดีไม่ได้มาด้วย มีเพียงด่านหน้ามารับหน้า แจ้งว่าอธิการไม่สบาย อธิการป่วย ซึ่งอธิการบดีที่เป็นหมอ ก็ไม่เคยมาร่วมงานเลยแม้แต่วันเดียว
"ต่อมามีข่าวออกมาช่วงบ่ายสอง ผู้ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดบอกกับนักข่าวว่า มข.ได้ดูแลครอบครัวทั้งสอง ครอบครัวที่บาดเจ็บและเสียชีวิตเรียบร้อยแล้ว จู่ๆ เจ้าหน้าที่ที่ให้เซ็น ก็ถือป้ายมอบเงิน 130,000 บาทมามอบทันที โดยมอบให้กับอากง อาม่า พ่อ และแม่ ตนเองก็งงว่ามายังไง ตนเองก็ไม่ได้ขัดอะไร ทุกอย่างทางมหาวิทยาลัยจัดแจงทั้งหมด และถ่ายรูปรับมอบไป พอเผาศพลูกเสร็จ มีผู้บริหารจาก มข.เดินมาหาแล้วบอกว่า มีหลวงพ่อที่ชาว มข.นับถือ
มาเข้าฝันบอกว่าน้องอายมาเข้านิมิต ท่านจะมาสวดให้แต่มาไม่ทัน ท่านจึงแผ่เมตตาให้ ถือว่าน้องไปเป็นนางฟ้าแน่นอน แม่ไม่ต้องกังวล และในการดูแลทาง มข.ก็ได้ดูแลแล้ว ก่อนจะเอาเอกสารมาให้ว่าจะต้องนำเอกสารอะไรมาประกอบเบิกเงินบ้างกับทางมหาวิทยาลัยแล้วก็จบไปในวันนั้น แม่ถือว่าการให้อภัยคือทานบารมีอันสูงสุดแล้วกัน วันนี้ก็จะรอฟังคำตอบว่าทางมหาวิทยาลัยขอนแก่นจะมีการรับผิดชอบยังไงบ้าง"
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Thainewsonline