- 16 ก.พ. 2566
"หมอธีระวัฒน์" ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา โพสต์ข้อความ เตือน สำหรับ ผู้ที่ชอบกินไข่แดงมาก เปิดข้อมูลชัดคนไทยควรรู้
"หมอธีระวัฒน์" ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ระบุข้อความว่า
ไข่แดงและเนื้อแดงจะเอายังไงแน่… กินแต่น้อยหรือกินไม่อั้น
การศึกษาในวารสารของสมาคมแพทย์สหรัฐฯ ปี 1999 ติดตามผู้ชายจำนวน 37,851 ราย (อายุ 40-75 ปี) และผู้หญิง 80,082 ราย (34-59 ปี) เป็นเวลา 8-14 ปี โดยแรกเริ่มไม่มีใครมีโรคประจำตัวทางหัวใจ เบาหวาน ไขมันสูง หรือมะเร็ง พบว่ามีผู้ชาย 1,124 และผู้หญิง 1,502 ราย เจ็บป่วยล้มตายด้วยโรคหัวใจและอัมพฤกษ์ แต่ไม่มีความสัมพันธ์ชัดเจนกับปริมาณไข่แดงที่บริโภค ยกเว้นแต่ในผู้ป่วยเบาหวาน
ดังนั้นคนปกติที่ไม่มีโรคประจำตัวก็สามารถกินไข่ได้วันละ 1 ฟอง
จนกระทั่งหลังๆมีบทความข้อเขียนต่างๆจากนักวิชาการบ้าง หมอ สมาคมโภชนาการสหรัฐฯในปี 2015 สนับสนุนให้กินไข่ได้วันละ 3–4 ฟอง
โดยอ้างว่าในไข่แดงมีไขมันเสียไม่มาก และมีชนิดที่บำรุงเส้นเลือดและไม่มีโทษ
•แต่จะสนับสนุนอย่างไรต้องเข้าใจว่าระดับไขมัน
คอเลสเทอรอล ในเลือดไม่ได้ตรงไปตรงมาตามปริมาณไข่แดงที่กิน บางคนกินเยอะ ไขมันยังเฉยๆ แต่คนที่กินวันละ 2-3 ฟองต่อวัน ไขมันกระฉูดและกลับเป็นปกติ เมื่อลดไข่
•แต่ที่สำคัญมากกว่านั้น คือการที่ไข่แดงทำให้เส้นเลือดตีบโดยไม่ได้ผ่านกลไกของระดับไขมัน กล่าวคือไขมันไม่สูงก็ตายได้
•การศึกษาที่น่าจะเป็นข้อควรระวังของคนวัยกลางคน ตั้งแต่ 45 เป็นต้นไป ที่แม้ไม่มีโรคประจำตัว ว่าการกินไข่แดง มีผลสัมพันธ์กับเส้นเลือดตีบอยู่ในวารสารเส้นเลือดตีบ (Ather-osclerosis 2012) จากศูนย์โรคเส้นเลือดสมอง Robarts Research Institute และศูนย์โภชนาการของแคนาดาโดยการวัดปริมาณ ตะกรันที่เกาะที่เส้นเลือดที่คอ ซึ่งตามปกติคนที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปก็เริ่มจะมีเส้นเลือดตีบตามวัย
แต่สำหรับคนที่บริโภคไข่เป็นประจำจะเร่งให้ตะกรันเกาะทำให้เส้นเลือดตีบในอัตราที่รวดเร็วเลวร้ายเทียบเป็นประมาณ 70% ของที่เกิดจากการสูบบุหรี่ โดยเห็นได้ชัดเจนถ้ากินไข่ตั้งแต่ 3 ฟองต่อสัปดาห์ขึ้นไป และในคนที่เป็นเบาหวานการบริโภคไข่วันละฟองจะเพิ่มอัตราการเป็นเส้นเลือดหัวใจตีบขึ้น 2-5 เท่า
•ผลการศึกษาอีกประการที่น่าตกใจคือ ภาวะตะกรันหรือเส้นเลือดตีบจากการกินไข่ไม่มีความสัมพันธ์ชัดเจนกับระดับคอเลสเทอรอลในเลือด ความดัน การสูบบุหรี่ อ้วนหรือไม่อ้วน
•กลไกในการอธิบายเส้นเลือดตีบตันของไข่แดงจะเหมือนกับเนื้อแดง สเต๊ก เนื้อบด เบอร์เกอร์ ทั้งๆที่ปริมาณไขมันคอเลสเทอรอลและไขมันอิ่มตัวในเนื้อก็ไม่ได้สูงมากนัก โดยเกิดจากเลซิติน (lecithin หรือ phosphatidylcholine) ในไข่แดง และแอล-คาร์นิทีน (L-carnitine) ในเนื้อ
รายงานในวารสารเนเจอร์ (Nature Medicine 2013) พบว่า การกินเนื้อแอล-คาร์นิทีนจะถูกเปลี่ยนโดยจุลินทรีย์ในลำไส้ให้กลายเป็น trimethy-lamine-N-oxide (TMAO) โดยที่ TMAO จะเป็นตัวเร่งให้เกิดเส้นเลือดตัน ทั้งนี้ไม่เพียงแต่คาร์นิทีนอย่างเดียว การกินโคลีน (choline) และเลซิตินมากไปจากไข่แดงหรืออาหารเสริมก็จะถูกย่อยให้เกิด trimethylamine (TMA) และในที่สุดก็จะกลายเป็น TMAO ตามมา (วารสาร Nature 2011) ซึ่งได้รับการพิสูจน์ล่าสุดในวารสารนิวอิงแลนด์ 2013 ว่าสัมพันธ์กับเส้นเลือดตันในหัวใจเช่นกัน
•นอกจากที่คนชอบกินผักจะได้ แอล-คาร์นิทีนน้อยกว่าแล้ว ยังพบว่าจุลินทรีย์ในลำไส้ของคนชอบกินผักจะเป็นชนิดที่ไม่เปลี่ยนแอล-คาร์นิทีนเป็นสารพิษ TMAO จากการตรวจผู้ป่วย 2,595 คนที่ได้รับการประเมินสภาพทางหัวใจ
พบว่าคนที่มีระดับแอล-คาร์นิทีน
ร่วมกับ TMAO สูงจะมีความเสี่ยงสูงของการเกิดเส้นเลือดหัวใจตีบตัน อัมพฤกษ์และเสียชีวิต เช่นเดียวกับผู้ป่วย 4,007 คนจากการศึกษาในเรื่องของเลซิตินก็ได้ผลว่ามีเส้นเลือดตีบตันสูงเช่นกัน และยืนยันจากการทดลองในหนูโดยให้แอล-คาร์นิทีนไปนานๆจะเกิดเส้นเลือดตีบมากขึ้น
ทั้งนี้ อธิบายจากการที่จุลินทรีย์ในลำไส้เปลี่ยนแอล–คาร์นิทีน
รวมทั้งเลซิติน เกิด TMA และ TMAO เพราะฉะนั้นการกินอาหารครบหมู่คละกันไปโดยเน้นผัก ผลไม้ กากใย โดยไม่จำเป็นต้อง “เพิ่ม”ไข่แดง เนื้อแดง หรือน่าจะเป็นบทสรุปที่ลงตัวที่สุด.
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่ thainewsonline