- 10 มี.ค. 2566
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการปราบทุจริต โอนเงิน-ปรับวงเงินเกิน 5 หมื่นบาท ลูกค้าจะต้องยืนยันตัวตน ผ่าน "ไบโอแมทตริก" หวังสกัดภัยการเงิน
เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2566 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการปราบทุจริตทางการเงิน เพื่อกำหนดเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่ทุกสถาบันการเงินต้องปฏิบัติตามใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1.มาตรการป้องกัน 2.มาตรการตรวจจับและติดตามบัญชี หรือธุรกรรมต้องสงสัย 3.มาตรการตอบสนองและรับมือ ซึ่งบางมาตรการธนาคารต่างๆได้เริ่มดำเนินการแล้ว และระบบทั้งหมดจะต้องทำให้เสร็จสิ้นภายในเดือน มิ.ย. 2566 นี้
สำหรับหนึ่งในมาตรการที่ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับลูกค้าที่ใช้โมบายแบงก์กิ้ง คือ การยืนยันตัวตนด้วย biometric (ไบโอเมตริก) ผ่านหน้า Face Recognition หรือการสแกนใบหน้า ที่ได้เคยเก็บข้อมูลไว้กับธนาคารตอนเปิดบัญชีใหม่ โดยหลังจากเดือน มิ.ย.นี้ไปแล้ว ทุกคนที่โอนเงินเกิน 50,000 บาทต่อครั้ง หรือโอนเงินเกิน 200,000 บาทต่อวัน หรือปรับเปลี่ยนเพิ่มวงเงินตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไปบนโมบายแบงก์กิ้ง จะต้องสแกนใบหน้ายืนยันตัวตน เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นตัวเราจริงไม่ใช่มิจฉาชีพ
ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยสาเหตุที่กำหนดให้สแกนหน้ายืนยันตัวตนตอนโอนเงินวงเงินเกิน 50,000 บาทนั้น เพราะจากข้อมูลพบว่ามิจฉาชีพส่วนใหญ่มักโอนวงเงินเกินกว่า 50,000 บาทต่อครั้ง ซึ่งผลกระทบตัวลูกค้าจากครั้งนี้มีเพียง 1% เท่านั้นที่โอนเงินครั้งละมากๆ
ดังนั้น ลูกค้าที่โอนเงินบนโมบายแบงก์กิ้ง เกินวงเงิน 50,000 บาทต่อครั้ง และไม่เคยเก็บข้อมูลไบโอเมตริกสแกนใบหน้ากับธนาคาร จะไม่สามารถโอนเงินตามจำนวนดังกล่าวได้ จะต้องมาทำธุรกรรมโอนเงินที่สาขาธนาคาร หรือต้องไปเก็บข้อมูลใบหน้าตามขั้นตอนไบโอเมตริก แต่หากใครที่เคยสแกนใบหน้าเก็บข้อมูลกับธนาคารไว้แล้ว จะสามารถสแกนใบหน้าเพื่อยืนยันตัวตนตอนทำธุรกรรมดังกล่าวได้