- 22 มี.ค. 2566
"หมอธีระวัฒน์" ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราว ระบุในหัวข้อ ชีวิตหมอ กับประสบการณ์วิญญาณ!
"หมอธีระวัฒน์" ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้ออกมาโพสต์แชร์เรื่องราว ระบุว่า
ชีวิตหมอ กับประสบการณ์วิญญาณ
คิดอยู่นานเหมือนกันว่าจะมาบอกเล่า เก้าสิบเกี่ยวกับ ประสบการณ์วิญญาณ หรือไม่ เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องที่ต้องมา พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ กันต่างๆนานา แต่คงไม่แปลก ถ้าไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรนะครับ มาเล่าสู่กันฟัง
เรื่องแรกที่จะเล่า (ความจริงมีมากมายหลายเรื่อง) น่าจะเป็น ประสบการณ์ ของหลายๆคน จนถึงกลายเป็นประสบการณ์หมู่ นั่นก็คือเรื่องเหตุการณ์ สึนามิ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในวันที่ 28 ธันวาคม 2547
ในช่วงแรกถ้าเรายังจำกันได้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานใด ภาคใด ทั้งหมอและเจ้าหน้าที่กู้ภัย และสาธารณสุขต่างช่วยกันอย่างพร้อมเพรียงในการค้นหาผู้ที่รอดชีวิตและในการบริบาลรักษา ช่วยชีวิตผู้ที่ประสบเคราะห์กรรม และในเวลา เดียวกันก็มีการช่วยเหลือเคลื่อนย้ายผู้ประสบภัยให้ไปอยู่ในทำเลใหม่ที่ปลอดภัยกว่าและมีการสร้างที่พักพิงให้หลายตำแหน่ง
ปัญหาความยุ่งยากที่ตามมาก็คือ ผู้ประสบภัยไม่แต่เพียงมีผลกระทบทางจิตใจ ความเครียด วิตกกังวล หดหู่ถึงกับไม่อยากมีชีวิตอยู่ ยังถูกรุมเร้าด้วย โรคประจำตัวที่มีอยู่แล้วและเคยได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นโรคทางสมอง โรคทางอายุรกรรม หัวใจ เบาหวาน ความดัน ไต ตับ และโรคเรื้อรังต่างๆ ทางข้อและกระดูก เป็นต้น โดยต้องขาดตอนการได้รับยารักษาและหลายคนก็พูดเสียงเดียวกันว่าหมอไปกับน้ำแล้ว
เมื่อเวลาผ่านไปเป็นสัปดาห์ถึงเป็นเดือน ถึงแม้ว่าจะมีหน่วยงานทั้งในประเทศและนานาชาติ อาสาเข้ามาช่วยเหลือโดยเข้ามาอนุเคราะห์แจกจ่ายยาให้ผู้ประสบภัย
แต่ปัญหาใหญ่ที่อาจจะทำให้เกิดผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นไปอีกก็คือ ยาชนิดเดียวกันหรือประเภท เดียวกัน ชื่อต่างกัน ภาษาต่างกัน ได้ถูกแนะนำให้ทาน ดังนั้นหมายความว่ายาชนิดนั้นๆที่ควรใช้วันละหนึ่งเม็ดกลับกลายเป็นได้วันละสามถึงสี่เม็ด กลายเป็นยาซ้ำซ้อนเข้าไปอีก
คณะเล็กๆของเราที่นำโดยภรรยาของหมอและเภสัชกรที่สนิทชิดเชื้อกัน จึงได้รวมกลุ่มประมาณ 60 ถึง 70 คน โดยลงไปเยี่ยมที่หมู่บ้านพักพิงเหล่านี้
ทั้งนี้ โดยเป็นการเยี่ยมในแต่ละบ้านและทำบันทึกประจำตัวและครอบครัวถึงโรคประจำตัวที่มีอยู่ ยาที่เคยใช้ถ้าจำได้ และโรคที่เกิดขึ้นใหม่หลังจากเหตุการณ์สึนามิ รวมทั้งรวบรวมยาทั้งหมดที่ได้รับในแต่ละบ้าน แยกแยะประเภทและจัดคำแนะนำใหม่ และถ่ายรูปชื่อยาที่เป็นภาษาต่างประเทศ ที่ไม่ใช่เป็นภาษาอังกฤษ จะเป็นภาษาทางยุโรปและภาษาญี่ปุ่น อิสราเอล เป็นต้น และส่งไปแปลให้ทราบชื่อและประเภทของยา
ในกลุ่มนี้มีหมอและพี่หมออีกท่านหนึ่งที่ร่วมคณะไปด้วย โดยในแต่ละบ้านที่มีการเข้าเยี่ยม ถ้าพบมีปัญหาก็จะโทรศัพท์มาเรียกเราให้เข้าไปตรวจร่างกาย ซักประวัติและทำบันทึกในกระดาษใส่ซองพลาสติก ทั้งนี้ เพื่อจะได้นำไปแสดงให้น้องหมอและพยาบาลที่โรงพยาบาลในพื้นที่ที่มีการเข้ามาเยี่ยมหรือพาไปรักษาต่อที่โรงพยาบาล จะได้ทราบอาการเพื่อทำการตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องมือที่จำเป็นต่อไป
การเยี่ยมบ้านในพื้นที่ยังได้มีการทบทวนทุกสองเดือน เพื่อจะได้ทราบว่าปัญหาที่ได้นำส่งโรงพยาบาลในพื้นที่ ว่าได้รับการแก้ไขแล้วสำเร็จหรือไม่ หรือจำเป็นต้องส่งต่อไปยังโรงพยาบาลใหญ่ต่อไป
ที่เล่ามายืดยาวเป็นการปูพื้นเรื่องว่า ในระหว่างที่ทำงานนั้นพบอะไรบ้าง เมื่อคณะของเราเดินทางไปถึงที่เขาหลัก โดยมีที่พักเป็นโรงแรมที่อยู่ที่นั่น ที่หน้าโรงแรมจะมีหน่วยทหารที่น้องๆคอยช่วยรื้อถอนขนย้ายซากปรักหักพัง โดยที่เรายังไม่ทันเข้าในที่พัก
น้องทหารก็เข้ามาหาแล้วถามว่า พี่ๆเป็นหมอใช่มั้ย พวกผมขอยานอนหลับเยอะๆได้ไหม
และก็เล่าให้ฟังว่าเวลาโพล้เพล้ ก็จะเห็นกลุ่มคนเดินมาเป็นหมู่ ส่งเสียงที่จับความไม่ได้แต่ไม่ใช่ภาษาไทยหรือไม่ใช่ภาษาอังกฤษด้วยซ้ำ แล้วก็เดินไปมาทุกเย็นและได้ยินเสียงตอนกลางคืน
พวกเราได้ฟัง ก็ดูเหมือนจะตรงกับที่ทราบมาเลาๆก่อนหน้าว่ามีอะไรแบบนี้ ดังนั้นน้องเภสัชกรจึงสมัครใจอยู่ห้องเดียวกัน ห้องละสี่ถึงห้าคนและแต่ละคน ต่างก็เตรียมบทสวดคาถาตามศาสนาต่างๆครบถ้วน
ซึ่งเมื่อเข้าที่พักไปแล้ว และกำลังจะเตรียมลงพื้นที่ยังได้พบกับน้องทหารที่เป็นผู้บังคับการ ได้บอกปัญหาของทหารที่ทำงานอยู่ขณะนี้ว่า อกสั่นขวัญแขวน และอย่างไรก็คงต้องใช้ยาที่ช่วยให้ผ่อนคลาย หรือยานอนหลับนั่นเอง
จะเป็นวันแรกหรือวันที่สองที่พวกเราลงพื้นที่ หมอก็ไม่แน่ใจนัก ตกตอนเย็น ประมาณ 6 โมงเย็นกว่าๆ หมอก็เลยชวนลูกชาย ขณะนั้นน่าจะอายุประมาณ 13 ปี ไปตีเทนนิสที่สนามที่อยู่ข้างๆที่พัก
จำได้ว่าตีไปประมาณสามเกม ไฟที่อยู่ริมสนามดับไปหนึ่งดวงเหลือสามดวง ก็มองหน้ากัน ในใจคงไม่ต้องบอกนะครับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็เล่นต่อ เล่นไปได้อีกสักพัก ไฟก็ดับไปอีกหนึ่งดวง
ถึงตอนนี้เลยพยักหน้ากัน และรีบไปเก็บไม้ใส่ถุง เก็บลูกเทนนิสเรียบร้อย กำลังจะเดินออก
เราทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าตึกๆขึ้นบันไดมา โดยที่สนามเทนนิสจะมีความสูงอยู่ประมาณชั้นสอง เสียงฝีเท้าวิ่งผ่านประตูเข้าสนามเทนนิส ซึ่งครึ่งทางด้านล่างทึบ และน่าจะมีความสูงประมาณ 1 เมตร และก็เห็นศีรษะเด็กโผล่มาให้เห็นเล็กน้อย และเสียงฝีเท้าก็วิ่งลงบันไดอีกทางไปชั้นล่าง
หมอและลูกตอนนี้ น่าจะอยู่ในสภาวะขนลุกขนชัน แต่ก็เดินไปที่ประตูและเปิดประตูมองไปทางซ้ายก็คือเป็นบันไดที่ขึ้นมาจะเข้าสนามเทนนิส มองไปทางขวาก็คือบันไดที่ลงไปชั้นล่างและที่ได้ยินเสียงฝีเท้าลงไป
หมอเลยถามลูกว่าจะลงไปดูเขาไหมตามที่ได้ยินเสียงฝีเท้า ลูกหมอเลยตอบเสียงเบาๆว่า พ่อข้างล่างมันมืดตึ๊ดตื๋อ และเราก็เห็นลางๆมีของวางระเกะระกะ ลูกบอกว่า...พ่อไปเหอะ
และแล้วพ่อกับลูกก็วิ่งแข่งกันกลับไปอย่างรวดเร็ว ไปที่ล็อบบี้ของที่พักได้เจอเจ้าหน้าที่เลยถามว่าที่ตรงนั้นเอาไว้ทำอะไร ได้รับคำตอบว่าเป็นที่สำหรับเก็บของที่ได้รับความเสียหายจากคลื่นยักษ์ เลยเอามาเก็บไว้รวมกันที่ชั้นใต้ถุน เราก็เลยถามต่อว่า มีอะไรหรือเห็นอะไรอย่างนี้ไหม น้องเค้าก็อ้อมแอ้มว่า ก็ไม่มีอะไรนะครับ
จะยังไงก็ตาม เราสองคนก็เลยวิ่งกลับห้องโดยด่วน และแน่นอนเปิดไฟสว่างจ้าตลอดคืนหลังจากที่เราทำงานเสร็จในพื้นที่ครั้งนี้ กลับมาบ้านที่กรุงเทพได้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ หมอฝัน ในฝันนั้นเห็นสตรีน่าจะเลยวัยกลางคนไม่ใช่คนไทย เดินอยู่บนสนามหญ้า และข้างๆมีเด็กผู้ชายขี่จักรยานเล่นอยู่ด้วย คุณน้าท่านนั้น เดินเข้ามาหาหมอและยื่นมือส่งตุ๊กตาเล็กๆให้ซึ่งหมอรับมาและก็ตกใจตื่น
ทั้งนี้ ในช่วงเวลานั้นคงเหมือนกับคนไทยทุกคนที่ได้ทำบุญแผ่ส่วนกุศลให้ผู้ประสบเคราะห์กรรมเหล่านี้ได้ไปสู่สุคติ และน่าจะเป็นเครื่องเตือนใจว่า ชีวิตนั้นไม่แน่นอนและเมื่อจากไปแล้วยังคงวนเวียนอยู่
การทำบุญทำกุศลเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนอื่นโดยไม่ต้องคิดว่าจะต้องได้รับอะไรตอบแทน เป็นสิ่งประเสริฐที่สุดในชีวิตและไม่น่าจะสายเกินไปที่มนุษย์ทุกคนจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยความรัก เข้าใจ และไม่ประหัตประหารกัน
ความจริงยังมีอีกมากมายหลายเรื่องในชีวิตของหมอ และเชื่อว่าหลายๆคนอาจจะมีประสบการณ์คล้ายคลึงกัน ถ้าไม่เบื่อจะได้นำมาเล่าให้ฟังกันอีกนะครับ.