ไร้ประโยชน์ ทนายอนันต์ชัย ห้ามชูวิทย์ ตอบโต้ทนายตั้ม จ่อฟ้องครั้งละ100ล้าน

ทนายอนันต์ชัย ห้ามชูวิทย์ ตอบโต้ ทนายตั้ม เด็ดขาดเพราะไม่มีประโยชน์ จ่อฟ้องเรียกค่าเสียหายครั้งละ 100 ล้านบาท


   27 มี.ค.66 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ พร้อม ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ได้เดินทางมายังที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ เพื่อไต่สวนมูลฟ้อง คดีที่นายชูวิทย์ ฟ้อง นายสันธนะ ประยูรรัตน์ เป็นจำเลย คดีหมายเลขดำที่ อ.2892/2565 ซึ่งเป็นการนัดไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ โดยจะมีการซักค้านนายชูวิทย์ และสืบพยานพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ พร้อมให้สัมภาษณ์ถึงกรณี "ทนายตั้ม"นายษิทรา เบี้ยบังเกิด 

       ทนายอนันต์ชัย ได้พูดถึงทนายตั้ม ที่กระทำในลักษณะที่กล่าวหาว่า คุณชูวิทย์ได้เรียกรับเงินจากเจ้าของเว็บพนันออนไลน์ ที่ชื่อสารวัตรซัว เป็นเงิน 10 ล้านบาทไม่ใช่ 6 ล้านบาท และมีการกล่าวหาว่า มีการรับเงินกับนายแทนไทย อีกทั้งกล่าวหาว่า กล่องดวงใจของนายชูวิทย์ คือลูกชายของนายชูวิทย์ รับเงินดิจิทัล จำนวน 50 ล้านบาท จากเว็บพนันออนไลน์  แยกเป็น 3 ประเด็น

 

  •       1. การแถลงข่าวและการให้สัมภาษณ์ของทนายตั้ม หมิ่นประมาทหรือไม่
  •       2. ผิดมรรยาททนายความหรือไม่
  •       3. ชูวิทย์มีความผิดฐานฟอกเงินหรือไม่

  ประเด็นที่ 1 การกระทำจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตาม ป.อ. มาตรา 326 และ328 หรือไม่  ต้องพิจารณาภาพรวมที่ผู้ใส่ความกล่าวเช่น สถานที่ เวลา และโอกาสรวมทั้งประเด็นปัญหาและเป้าหมายที่ผู้กล่าวใส่ความต้องการสื่อถึงผู้รับฟังคำพูดนั้นประกอบกัน  กรณีนี้ เห็นว่า การที่ทนายตั้ม แถลงข่าวในลักษณะที่กล่าวหาคุณชูวิทย์ ทำนองว่าเหตุที่ออกมาแฉเรื่องผิดกฎหมาย เพราะหวังให้พวกกระทำผิดกฎหมายมาหา

 

  เพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ และกล่าวหาใส่ความว่า คุณชูวิทย์รับเงินเพื่อไม่ให้เปิดโปงสารวัตรซัว จำนวน 10 ล้านบาทไม่ใช่ 6 ล้านบาท (จำนวนเงินมากน้อยเท่าใดไม่ใช่ประเด็น) และกล่าวหาว่า กล่องดวงใจ หมายถึงบุตรชายของคุณชูวิทย์รับเงินดิจิตอล จำนวน 50 ล้านบาท

ไร้ประโยชน์ ทนายอนันต์ชัย ห้ามชูวิทย์ ตอบโต้ทนายตั้ม จ่อฟ้องครั้งละ100ล้าน

   และมีการเรียกรับผลประโยช์เรื่อยๆ ซึ่งเป็นการกล่าวในช่วงเวลาที่คุณชูวิทย์แถลงหรือให้สัมภาษณ์เปิดโปงการกระทำโดยมิชอบของสารวัตรซัว โดยมุ่งหมายดิสเครดิต ลดความน่าเชื่อถือ สร้างความเสียหายแก่ชื่อเสียงของคุณชูวิทย์ และบุตรชาย การแถลงข่าวและให้สัมภาษณ์ของทนายตั้ม เข้าข่ายน่าจะเป็นการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328

      ทนายอนันต์ชัย กล่าวต่อไปอีกว่า หากยังจำกันได้ คุณชูวิทย์เคยออกมาประกาศผ่านสื่อมวลชนว่า เงินรางวัล 5 % รางวัลนำจับยึดทรัพย์คดียาเสพติด จะนำไปบริจาคให้ รพ.เพราะมีเงินใช้มากพออยู่แล้ว คุณชูวิทย์ จึงไม่มีความจำเป็นหรืออยากได้เงินอีกแต่อย่างใด การที่ออกมาประกาศว่าการเปิดโปงทุจริตต่างๆ ครั้งนี้

 

เพราะว่าเห็นการทุจริตคอรัปชั่นต่างๆ มากมาย ที่ทำให้สังคมไทยเน่าเฟะ  มานานแล้ว ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีตราบที่ยังมีลมหายใจอยู่     เห็นว่า ทนายตั้ม ตอนนี้ร่ำรวยมาก เลยจะฟ้องเรียกค่าเสียต่อชื่อเสียงสัก 100 ล้านบาท 

      ประเด็นที่ 2 การกระทำของทนายตั้ม เป็นการให้สัมภาษณ์และแถลงข่าวโดยไม่กลั่นกรองข้อเท็จจริงตามวิสัยของผู้ประกอบวิชาชีพทนายความโดยทั่วไป มีลักษณะชี้ช่องส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องคดีโดยไม่มีมูลความจริง ตามข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 หมวด 3 ข้อ 9  “กระทำการอันเป็นการยุยงส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องคดีกันในกรณีอันหามูลมิได้” มีโทษสูงสุดต้องถูกลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ 


      ดังนั้น การกระทำของทนายตั้ม น่าจะมีความผิดมรรยาททนายความ ซึ่งจะมีการร้องสภาทนายความต่อไปแน่นอน 

       ประเด็นที่ 3 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เป็นพระราชบัญญัติที่มีโทษทางอาญาผู้ที่จะมีความผิดตาม พ.ร.บ. นี้ได้จะต้องกระทำโดยเจตนาด้วย กล่าวคือ รู้ว่าเงินนั้นเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐาน หรือความผิดฐานฟอกเงิน แล้วตนรับโอน ซุกซ่อน ปกปิดแหล่งที่มา หรือครอบครอง หรือใช้เงินนั้นโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ตามคำนิยามของคำว่า “ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด” มาตรา 3 และความผิดฐานฟอกเงินตาม มาตรา 5 

ไร้ประโยชน์ ทนายอนันต์ชัย ห้ามชูวิทย์ ตอบโต้ทนายตั้ม จ่อฟ้องครั้งละ100ล้าน
       แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏ คุณชูวิทย์ไม่รู้ และไม่มีเหตุอันควรรู้ว่า เงินที่มีผู้นำมาให้นั้นเป็น “ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด”  จึงขาดเจตนา คุณชูวิทย์ไม่มีความผิดฐานฟอกเงิน ครับ


      ตรงกันข้ามที่ทนายตั้ม กล่าวหรือชี้ช่องว่า จะดำเนินคดีฟอกเงินกับคุณชูวิทย์นั้น เท่ากับทนายตั้ม ยอมรับข้อเท็จจริงแล้วว่า เงินที่นำมาให้คุณชูวิทย์เพื่อปิดปากมิให้แถลงข่าวเปิดโปงสารวัตรซัวนั้นเป็นเงินสกปรก เป็น“ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด”  บุคคลที่ทนายตั้มกล่าวถึงหรือเจ้าของเงินนั้นจึงเป็นผู้ครอบครอง ใช้เงิน รวมทั้งปกปิดแหล่งที่มาของเงิน ครบองค์ประกอบความผิดฐานฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 5(1) (2) (3 ) แล้ว บุคคลนั้น ๆ ต้องถูกดำเนินคดีในความผิดฐานฟอกเงิน
       

ไร้ประโยชน์ ทนายอนันต์ชัย ห้ามชูวิทย์ ตอบโต้ทนายตั้ม จ่อฟ้องครั้งละ100ล้าน

  อย่างไรก็ตาม นับแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณชูวิทย์ จะไม่ออกมาตอบโต้ทนายตั้มอีก ไม่ใช่กลัวนะครับ แต่ไม่มีประโยชน์ต่อประชาชน คุณชูวิทย์ จะใช้กระบวนการยุติธรรม คือ ศาลพิสูจน์ข้อเท็จจริง

ไร้ประโยชน์ ทนายอนันต์ชัย ห้ามชูวิทย์ ตอบโต้ทนายตั้ม จ่อฟ้องครั้งละ100ล้าน

  และหากทนายตั้มมีการแถลงข่าว หรือให้สัมภาษณ์ใดๆ ในลักษณะใส่ความให้คุณชูวิทย์ได้รับความเสียหายอีก  คุณชูวิทย์ ก็จะใช้สิทธิทางศาลทั้งทางอาญาและทางแพ่งและเรียกค่าเสียหายทุกครั้งไป ครั้ง 100 ล้านบาท