กรมวิทย์ฯ จับตาโควิดสายพันธุ์ใหม่ "FU.1" แพร่เร็วกว่า XBB.1.16 ถึง 50%

โควิดสายพันธุ์ใหม่ FU.1 หรือ XBB.1.16.1.1 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์เผยแพร่เชื้อไวกว่าเดิมถึง 50% แข็งแกร่งขึ้น ต้านทานภูมิคุ้มกันของร่างกาย

   เรียกได้ว่ากลับมาเฝ้าจับตา ระวัง โควิด-19สายพันธุ์ใหม่ FU.1 หรือ XBB.1.16.1.1 แพร่เชื้อไวกว่า XBB.1.16 ถึง 50% ล่าสุดกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รายงาน ในไทยพบแล้ว 1 คน มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่พบความรุนแรงของโรค จนส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตมาก

กรมวิทย์ฯ เผยโควิดสายพันธุ์ใหม่ "FU.1" แพร่เร็วกว่า XBB.1.16 ถึง 50%

   อัพเดทข่าวโควิดล่าสุด 18 พ.ค.66  น.พ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวถึงกรณีผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกประสานความร่วมมือเฝ้าติดตาม “โควิดFU.1” หรือ XBB.1.16.1.1 หลานของ XBB.1.16 ซึ่งเติบโตและแพร่ระบาดสูงกว่า XBB.1.16 ถึง 50% โดยไทยพบแล้ว 1 คน ว่า เป็นข้อมูลที่กรมวิทย์ฯ รายงานเข้าสู่ฐานข้อมูลโลก หรือ GISAID ซึ่งกรมมีการติดตามและสุ่มตรวจถอดรหัสสายพันธ์ุอยู่ต่อเนื่อง เท่าที่ติดตามแม้จะมีการแพร่ระบาดเร็ว แต่ยังไม่พบความรุนแรงของโรค จนส่งผลให้เกิดการเสียชีวิต 

 

กรมวิทย์ฯ เผยโควิดสายพันธุ์ใหม่ "FU.1" แพร่เร็วกว่า XBB.1.16 ถึง 50%

การแพร่ระบาดเร็วอาจจะมาจากปัจจัยอื่น ๆ ด้วย ทั้งการรวมตัวทำกิจกรรมมากของผู้คนที่มากขึ้น คนใส่หน้ากากอนามัยน้อยลง เนื่องจากบางคนเห็นว่าเป็นเพียงไข้หวัดธรรมดา ไม่อยากให้กังวล เพราะธรรมชาติของไวรัสมีการกลายพันธ์ุ ไปหลายสายพันธ์ุจำนวนมาก กรมยังติดตามเฝ้าระวังต่อเนื่อง

ทางด้าน Center for Medical Genomics ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ ร.พ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เปิดเผยในวันที่ 18พ.ค.66 ว่า 

จับตาโอไมครอน “FU.1(XBB.1.16.1.1)” หลานของ “XBB.1.16” 


ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกประสานความร่วมมือเพื่อเฝ้าติดตาม “FU.1” เนื่องจากมีความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage)สูงกว่า XBB.1.16 ถึง 50% โดยความรุนแรงยังไม่ปรากฏ

 

แม้จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ  แต่โควิด-19ตระกูลโอมิครอนยังมีการกลายพันธุ์แพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ที่เด่นชัดมี 3 กลุ่มคือ

  •  โอมิครอน XBB.1.5 นามแฝงคือ คราเคน (Kraken) มาจากชื่อปลาหมึกยักษ์ในเทพนิยาย
  •  โอมิครอน XBB.1.16 นามแฝงคือ อาร์คทูรัส (Arcturus) มาจากชื่อดาวฤกษ์
  •  โอมิครอน XBB.1.9.1 นามแฝงคือ ไฮเปอเรี่ยน (Hyperion) มาจากชื่อเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง

   โดยกลุ่มโอมิครอน XBB.1.5 มีการลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง ประเมินว่าจะถูกแทนที่โดย กลุ่ม XBB.1.16* และ XBB.1.9.1 ที่พบระบาดมากที่สุดในอินเดีย และมีการกระจายไปทั่วโลก  ส่วนในอาเซียนพบในสิงคโปร์และไทย



  ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี  ติดตามการกลายพันธุ์ในระดับจีโนมของไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกจากการถอดรหัสพันธุกรรมทั้งจีโนมของไวรัสโควิด-19 โดยการเก็บตัวอย่างจากผู้ติดเชื้อในประเทศและข้อมูลรหัสพันธุกรรมจากฐานข้อมูลโควิดโลก “จีเสส (GISAID)” ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา (15 เม.ย. -15พ.ค. 2566)

กรมวิทย์ฯ เผยโควิดสายพันธุ์ใหม่ "FU.1" แพร่เร็วกว่า XBB.1.16 ถึง 50%

   พบโอมิครอนสายพันธุ์หลักในประเทศไทยเป็นกลุ่ม XBB* ประมาณ 93.5% ประกอบด้วยสายพันธุ์ย่อยอันดับหนึ่งคือ XBB.1.16* ประมาณ 19% อันดับสองเป็น XBB.1.5* ประมาณ 10% และอันดับสามเป็น XBB.1.9.1* ประมาณ 8.4%


สายพันธุ์ย่อยอันดับหนึ่งกลุ่ม XBB.1.16  หรืออาร์คทูรัส (Arcturus) พบการกลายพันธุ์ระบาดไปทั่วโลกถึง 3 รุ่นคือ


รุ่นแรก

  • โอมิครอน XBB.1.16 (กลายพันธุ์ ณ. ตำแหน่ง S:E180V, S:478R) ทั่วโลกพบ 9,003  ราย  ประเทศไทย 139 ราย

รุ่นลูก

  • โอมิครอน XBB.1.16.1 (S:T547I) ทั่วโลกพบ  2,714  ราย  ประเทศไทย 26 ราย
  • โอมิครอน XBB.1.16.2  (ORF3a:V13L, ORF1a:P926H)  ทั่วโลกพบ 666 ราย ประเทศไทยพบ   25 ราย
  • โอมิครอน XBB.1.16.3 (A2893C) ทั่วโลกพบ 175  ราย ประเทศไทยพบ   5  ราย
  • โอมิครอน XBB.1.16.4 (S:T678I) ทั่วโลกพบ 177  ราย ประเทศไทยยังไม่พบ
  • โอมิครอน XBB.1.16.5 (T9991C,C16332T) ทั่วโลกพบ 135  ราย ประเทศไทยยังไม่พบ
  • โอมิครอน XBB.1.16.6 (S:F456L) ทั่วโลกพบ 23 ราย ประเทศไทยยังไม่พบ

รุ่นหลาน

  • โอมิครอน XBB.1.16.1.1 (T3802C) นามแฝง FU.1  ทั่วโลกพบ 122 ราย  ประเทศไทยพบ 1 ราย  
  • โอมิครอน XBB.1.16.1.2 (C8692T) นามแฝง FU.2 ทั่วโลกพบ  149 ราย ประเทศไทยยังไม่พบ

กรมวิทย์ฯ เผยโควิดสายพันธุ์ใหม่ "FU.1" แพร่เร็วกว่า XBB.1.16 ถึง 50%

   สายพันธุ์ย่อยอันดับสามคือกลุ่ม XBB.1.9.1* หรือไฮเปอเรี่ยน (Hyperion) พบการกลายพันธุ์ระบาดไปทั่วโลกถึง 3 รุ่นคือ รุ่นแรก รุ่นลูก และรุ่นหลานเช่นกัน ใช้ชื่อเรียกเป็นอักษรย่อ “FL” ตามด้วยตัวเลขทศนิยม ยังไม่มีการตั้งชื่อนามแฝง 

สายพันธุ์ย่อยในกลุ่มโอมิครอน XBB.1.16* โดยเฉพาะ “FU.1 (XBB.1.16.1.1)”  ถือได้ว่าเป็น “รุ่นหลาน” ของ XBB.1.16 พบการระบาดมากในนครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกได้ประสานความร่วมมือให้ช่วยกันเฝ้าติดตามเนื่องจากมีค่าความได้เปรียบในการเติบโต-แพร่ระบาด (relative growth advantage) สูงกว่า XBB.1.16 ถึง 50%
 


ในขณะที่กลุ่มโอมิครอน XBB.1.16* “รุ่นลูก” คือ  “XBB.1.16.1” พบการแพร่ระบาดในสวีเดน โดยมีโอมิครอนกลุ่ม “XBB.1.9.1” และรุ่นลูกและรุ่นหลาน “FL*” กลายพันธุ์แพร่ระบาดตามมาติดๆ คาดว่าอาจเข้ามาแทนที่กลุ่ม XBB.1.16* ในอนาคต
ภาพ 4,5, และ 7

กรมวิทย์ฯ เผยโควิดสายพันธุ์ใหม่ "FU.1" แพร่เร็วกว่า XBB.1.16 ถึง 50%
ตลอด 3 ปีครึ่งของการระบาดของโควิด-19 เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของไวรัสนี้มาอย่างต่อเนื่อง ไวรัสเวอร์ชันใหม่ เช่น โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย XBB ที่ปรากฏขึ้นในราวมิถุนายน ปี 2565 เกิดมาจากการผสมข้ามสายพันธุ์ (recombination หรือ “X”) ระหว่างโอมิครอนสองสายพันธุ์ย่อยคือ “BJ.1” และ BM.1.1.1 (ลูกหลานของ BA.2.75)

 

  • โควิดเวอร์ชันใหม่นี้แข็งแกร่งขึ้น แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว สามารถต้านทานภูมิคุ้มกันของร่างกายเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าไวรัส XBB อาจไม่ทำให้ผู้ติดเชื้อเจ็บป่วยรุนแรงไปกว่าโควิดรุ่นก่อน แต่ก็ยังสามารถแพร่กระจายและกลายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็วอันเป็นเหตุผลสำคัญที่ก่อความกังวลให้กับองค์การอนามัยโลกและผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก

 

 

ดังนั้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหานี้ ทางศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ. รามาธิบดี ได้ถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสจากตัวอย่างส่งตรวจและจับตามองว่าไวรัสโควิด-19 มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรและแพร่กระจายไปที่ใด ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจในไวรัสโอมิครอนสายพันธุ์ใหม่ที่อุบัติขึ้นมาอย่างต่อเนื่องได้ดีขึ้น อันจะช่วยให้เรามีเวลาตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีการป้องกันและรักษาแก่ประชาชนคนไทยหากการระบาดของโควิด-19 หวนกลับมา 


ศูนย์จีโนมฯดำเนินการถอดรหัสพันธุกรรมโควิด-19 ทั้งจีโนมมาตั้งแต่เริ่มการระบาดเมื่อ 3 ปีที่แล้วเพื่อประโยชน์หลายประการ


1. การติดตามสายพันธุ์ของไวรัส: โดยการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสทั้งจีโนมจากผู้ติดเชื้อหรือผู้ป่วยที่หลากหลาย จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถติดตามวิวัฒนาการของไวรัสและระบุสายพันธุ์ใหม่ได้ สายพันธุ์ย่อยที่อุบัติขึ้นมาอาจมีลักษณะที่แตกต่างกัน เช่น การแพร่เชื้อที่เพิ่มขึ้น หรือก่อความรุนแรงของการเจ็บป่วย และบางสายพันธุ์อาจหลีกเลี่ยงภูมิคุ้มกันที่สร้างขึ้นโดยการฉีดวัคซีนหรือการติดเชื้อตามธรรมชาติในครั้งก่อน


2. ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการแพร่กระจายของไวรัส: การถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสทั้งจีโนมสามารถให้ข้อมูลที่มีค่าเกี่ยวกับการแพร่กระจายของไวรัสภายในชุมชน ภูมิภาค และประเทศต่างๆ สามารถช่วยระบุกลุ่มผู้ป่วยและห่วงโซ่การแพร่เชื้อ ซึ่งสามารถใช้ปรับมาตรการด้านสาธารณสุขเข้าควบคุมการระบาดของไวรัสได้แบบเรียลไทม์


3. การป้องกันด้วยวัคซีนและการรักษาด้วยยา: หากไวรัสเกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ (การกลายพันธุ์) สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของวัคซีนและการรักษาด้วยแอนติบอดีสำเร็จรูปและยาต้านไวรัส ทำให้นักวิจัยมีข้อมูลที่สามารถใช้อัปเกรดทั้งชุดตรวจ แอนติบอดีสำเร็จรูป วัคซีน และยาต้านไวรัส ได้ในระยะอันสั้นทันต่อเหตุการณ์

 


4. การตอบสนองด้านสาธารณสุข: ข้อมูลจากการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสทั้งจีโนมสามารถใช้ประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับการดำเนินการหรือยกเลิกมาตรการควบคุม ได้แบบเรียลไทม์ ตัวอย่างเช่น การถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสทั้งจีโนม สามารถช่วยระบุได้ว่ามีการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ที่สามารถแพร่เชื้อได้มากกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม ทางเจ้าหน้าที่อาจตัดสินใจเพิ่มความเข้มข้นในบางมาตรการ เช่น กินร้อน ช้อนกลาง สวมใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทางสังคม การใช้ยาแอนติบอดีสำเร็จรูปและยาต้านไวรัส รวมไปถึงการปิดพื้นที่ ตำบล จังหวัด หรือประเทศ  


5. การทำงานร่วมกันทั่วโลก: การแบ่งปันข้อมูลจากการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสทั้งจีโนมทำให้นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกสามารถศึกษาไวรัส ติดตามการแพร่กระจาย การตอบสนองต่อภูมิคุ้มกันและยาต้านไวรัส รวมทั้งการเกิดเชื้อไวรัสดื้อยาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความร่วมมือระดับโลกนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมการแพร่ระบาด


6. การทำนายแนวโน้มในอนาคต: จากการสังเกตวิวัฒนาการของไวรัสเมื่อเวลาผ่านไป นักวิทยาศาสตร์สามารถคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มในอนาคต เช่น ความเป็นไปได้ที่สายพันธุ์ใหม่จะเกิดขึ้น  สามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันหรือเข้ายึดเกาะกับผิวเซลล์ได้ดีกว่าหรือด้อยกว่าสายพันธุ์ที่ระบาดในปัจจุบัน

 


โดยสรุปการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสทั้งจีโนมเป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่ช่วยให้เราติดตามและทำความเข้าใจไวรัสโควิด-19 ได้แบบเรียลไทม์ เพื่อปรับเปลี่ยนการรับมือต่อการระบาดใหญ่ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก  ทั้งในปัจจุบันและอนาคต