- 23 พ.ค. 2566
ตำรวจ แถลงกรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงให้นายวัฒนา ภู่โอบอ้อม หรือ ต๋อง ศิษย์ฉ่อย ให้โอนเงิน จนเสียเงิน 3 ล้าน 2 แสนบาท
พลตำรวจเอก สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี แถลงกรณีแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงให้ นายวัฒนา ภู่โอบอ้อม หรือ ต๋อง ศิษย์ฉ่อย โอนเงินให้จำนวน 3 ล้าน 2 แสนบาท
พฤติการณ์แก๊งคอลเซ็นเตอร์รายนี้ได้แอบอ้างเป็นตำรวจ โทรศัพท์ไปข่มขู่นายวัฒนาว่าไปเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดและฟอกเงิน โดยมิจฉาชีพคนที่หนึ่งแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทยโทรศัพท์ไปหานายวัฒนาว่าค้างชำระบัตรเครดิต หากไม่ได้ใช้บัตรเครดิตแสดงว่ามี บุคคลอื่นนำบัตรเครดิตไปใช้ จึงแนะนำให้ไปแจ้งความที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ ซึ่งเป็นท้องที่เกิดเหตุ จากนั้นได้ต่อสายโทรศัพท์ให้พูดคุยกับมิจฉาชีพคนที่ 2 แอบอ้างเป็น พันตำรวจเอก เสฏฐวุฒิ รอดจันทร์ ผู้กำกับการ สภ.เมืองนครสวรรค์ เนื่องจากเห็นว่าไม่สะดวกเดินทางไปแจ้งความ ระหว่างนั้นวิชาชีพคนที่สามโดยใช้บัญชีแอปพลิเคชันไลน์ชื่อ สภ.เมืองนครสวรรค์ แจ้งมาว่านายวัฒนาเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติดและฟอกเงิน ให้ส่งบัญชีธนาคารของนายวัฒนามาให้ตรวจสอบ หากต้องการพิสูจน์ความจริงต้องโอนเงินมาตรวจสอบเส้นทางการเงิน และถ้าตรวจสอบแล้วไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดจะโอนเงินคืนให้ ทำให้ซึ่งนายวัฒนาหลงเชื่อ จึงโอนเงินจากบัญชีธนาคาร 5 บัญชีจำนวน 10 ครั้ง เป็นเงินกว่า 3 ล้าน 2 แสนบาท ให้มิจฉาชีพไป
นายวัฒนา เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาก็ได้รับรู้ข่าวสารว่ามีมิจฉาชีพก่อเหตุหลอกลวงประชาชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตนเองก็พยายามระมัดระวังตัวมาโดยตลอด แต่ก็มาพลาดจนได้ จึงอยากให้ตำรวจติดตามจับกุมมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์มาลงโทษให้ได้ เผื่อไม่ให้ไปก่อเหตุกับคนอื่นอีก และอยากให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเอง เป็นกรณีศึกษาเพื่อไม่ให้มีผู้อื่นตกเป็นเหยื่ออีก
พลตำรวจตรี สุระพรรณ นาทวรทัต ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 เปิดเผยถึงความคืบหน้าคดีของนายวัฒนาว่า พนักงานสอบสวน สน.วังทองหลาง ได้ขอศาลอนุมัติหมายจับ 1 คน เป็นบัญชีม้าแถวที่ 1 ที่มีพฤติการหลบหนี และออกหมายเรียกผู้ต้องหาซึ่งเป็นบัญชีม้าแถวที่ 2-4 จำนวน 10 คน โดยอายัดบัญชีทั้งหมดไว้แล้ว ซึ่งพนักงานสอบสวนนัดให้มารายงานตัวในวันที่ 26 และ 29 พฤษภาคมนี้
พลตำรวจเอก สมพงษ์ เปิดเผยว่า ผลการปฏิบัติงานในปราบปรามอาชญากรรมทางออนไลน์ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 14 ถึง 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีสถิติการรับแจ้งความคดีออนไลน์ 5 รูปแบบ ที่มากที่สุดคือ คดีหลอกลวงซื้อขาย สินค้าหรือบริการ รองลงมาคือ หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ , หลอกลวงให้กู้เงิน , ข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน และหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ตามลำดับลงมา
ระหว่างวันที่ 14 ถึง 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา มีสถิติรับแจ้งความ 4,461 คดี ลดลงจากสัปดาห์ที่แล้ว 314 คดี มีมูลค่าความเสียหายกว่า 473 ล้านบาท มูลค่าความเสียหายเพิ่มขึ้นกว่า 46 ล้านบาท
โดยมีการระงับการทำธรุรกรรมและอายัดบัญชีตาม พรก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ห้วงวันที่ 13 มีนาคม ถึง 5 พฤษภาคม มีคดีทั้งหมด 30,439 คดี , ขอระงับอายัดบัญชีจำนวน 16,597 บัญชี , ทำเรื่องขออายัดเงิน ไปทั้งหมด 685,310,290 บาท สามารถอายัดเงินได้ 92,132,049 บาท
ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา ในห้วงวันที่ 17 มีนาคมถึง 17 เมษายนที่ผ่านมา มีการออกหมายจับไป 264 คดี , จับกุมได้ 170 คดี ได้ตัวผู้ต้องหา 137 คน