"บิ๊กโจ๊ก" ยอมรับ สนิทกับนักข่าวสาว หลังโดนอ้างชื่อรีด 33 ล้านบาท

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ บิ๊กโจ๊ก ยอมรับ สนิทกับนักข่าวสาวสื่อจีน ตั้งแต่ตอนเป็นผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว หลังโดนแอบอ้าง รีดเงินจีนเทา 33 ล้านบาท

   กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างมาก เมื่อวันที่ 28 พ.ค.66 กรณีนักข่าวสาวอ้างชื่อ บิ๊กโจ๊ก รีดเงิน 33 ล้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงคดีนักข่าวสาวสื่อจีน แอบอ้างชื่อตนเองเรียกรับเงินจาก น.ส.นวพร ภาเกียรติสกุล อายุ 53 ปี เจ้าแม่แก๊งอุ้มบุญทุนจีนสีเทา 33 ล้านบาท เพื่อล้มคดีแต่ นวพร จ่ายเพียง 14 ล้านบาท แต่การเข้าจับกุมนักข่าวสาวครั้งนี้ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้ง แต่เพื่อให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ ตนเอง รวมถึงกระบวนการยุติธรรม ได้รับความเสื่อมเสีย

"บิ๊กโจ๊ก" ยอมรับ สนิทกับนักข่าวสาว หลังโดนอ้างชื่อรีด 33 ล้านบาท

ทางด้านพนักงานสอบสวนได้ให้การประกันตัว ส่วนสาเหตุที่ได้รับนั้น เพราะเป็นดุลยพินิจของพนักงานสอบสวนเจ้าของสำนวนคดี ที่เห็นชอบให้ประกัน โดยใช้หลักทรัพย์ในการประกันตัวสูงสุด 3.5 ล้านบาท และห้ามเดินทางออกนอกประเทศ จนกว่าคดีจะสิ้นสุด

"บิ๊กโจ๊ก" ยอมรับ สนิทกับนักข่าวสาว หลังโดนอ้างชื่อรีด 33 ล้านบาท

ทั้งนี้ รองผบ.ตร. ยอมรับว่า ผู้ต้องหามีความสนิทสนมกับตนจริง ตั้งแต่ตอนเป็นผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว เนื่องจากผู้ต้องหาเคยช่วยงานในภารกิจเหตุเรือล่มของนักท่องเที่ยวจีน และเคยให้ข้อมูลเกี่ยวธุรกิจทุนจีนสีเทา แต่เมื่อกระทำผิดก็จำเป็นต้องดำเนินการตามกฎหมาย ยืนยันมีพยานหลักฐานมากเพียงพอ และมีประจักษ์พยานที่ยืนยันการกระทำของผู้ต้องหาได้ ถึงแม้จะเป็นการรับเงินสดก็ตาม

"บิ๊กโจ๊ก" ยอมรับ สนิทกับนักข่าวสาว หลังโดนอ้างชื่อรีด 33 ล้านบาท

คดีนี้ผู้ต้องหาไม่ได้กระทำผิดเพียงคนเดียว แต่เป็นกระทำผิดร่วมกับสามีชาวจีนที่ใช้ชื่อไทยซึ่งถูกจับกุมไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และเป็นการขยายผลมาจับ ตนทราบพฤติกรรมของผู้ต้องหามาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังไม่มีหลักฐาน หรือ ประจักษ์พยานที่ยืนยันพฤติกรรมของทั้งคู่ได้ จนกระทั่งมาถึงคดีของนวพร ที่ตัวนวพรเป็นผู้ให้ข้อมูล เองประกอบกับมีพยานหลักฐานอื่นๆ ตำรวจจึงต้องดำเนินการ 

 

ยอมรับว่าการดำเนินการครั้งนี้ เป็นการปรามนักข่าวรวมถึงบุคคลใกล้ชิดตน ที่คิดใช้ชื่อตนแสวงหาผลประโยชน์ในทางที่ไม่ชอบ ที่ต้องจับเพราะไม่ได้โกรธแต่วางเฉยการทำผิดกฎหมายไม่ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาหลังได้รับการประกันตัวไปแล้ว แต่ได้ติดต่อมาเพื่อขอเข้าพบตน และขอพาสปอร์ตคืนเพื่อเดินทางไปยังฮ่องกง โดยอ้างว่ามีประชุมของบริษัท แต่ไม่สามารถอนุญาติได้ ต้องรอให้คดีถึงที่สุด และหลังจากนี้ก็ให้ผู้ต้องหาไปต่อสู้ในชั้นศาล

ส่วนกรณีที่ผู้ต้องหาโพสต์ได้ออกแถลงการณ์ผ่านโซเชียลว่าถูกแก้แค้นจากทุนจีนสีเทา และยืนยันไม่ได้กระทำผิด วอนทุกคนอย่าเชื่อ บิ๊กโจ๊ก ระบุว่า เป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่จะปฏิเสธ และเป็นสิทธิของประชาชนที่จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่หากไม่มีพยานหลักฐานที่ชัดเจน ศาลจะไม่อนุมัติหมายจับให้

 

  นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนยังเผยว่า ผู้ต้องหามีสัญชาติจีน แต่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 30 ปี และภายหลังที่ได้มีการเข้าไปช่วยเหลือเป็นล่ามภาษากลุ่มคนจีนที่เข้ามาทำธุรกิจในไทย เคยได้รับการไว้วางใจแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็กสตรีครอบครัวป้องกันปรามปรามการค้ามนุษย์ และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) เมื่อวันที่ 8 พ.ย. 2565 ซึ่งหลังจากมีสถานะตกเป็นผู้ต้องหา รองผบ.ตร.อยู่ระหว่างปลดจากตำแหน่งดังกล่าวทันที ส่วนตัวผู้ต้องหาปัจจุบันถือวีซ่า Thailand Privilege Card หรือ วีซ่าประเภทพิเศษสำหรับนักธุรกิจ นักลงทุนชาวต่างชาติ