พอล ภัทรพล ฟันธง "พิธา" รอดคดีถือหุ้นสื่อแน่นอน แต่มี 1 คนที่ไม่ควรรอด

"พอล ภัทรพล" อดีตนักแสดงชื่อดัง ที่ผันตัวมาให้ความรู้ด้านการเงินการลงทุน ฟันธง "พิธา" รอดคดีถือหุ้นสื่อ ITV แน่นอน แต่มี 1 คนที่ไม่ควรรอด

เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2566 พอล ภัทรพล อดีตนักแสดงชื่อดัง ซึ่งปัจจุบันที่ผันตัวมาเป็นนักธุรกิจ, นักลงทุน และเจ้าของรายการให้ความรู้ด้านการเงิน การลงทุน ได้โพสต์คลิปลงใน TikTok @paulpattarapon พร้อมระบุแคปชั่นว่า "คุณพิธารอดคดีหุ้นITV แน่นอน แต่ มี 1 คนที่ไม่ควรรอด"

 

 

พอล ภัทรพล ฟันธง พิธา รอดคดีถือหุ้นสื่อแน่นอน แต่มี 1 คนที่ไม่ควรรอด

โดยในช่วงต้นคลิป พอล ภัทรพล ได้กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องขอออกตัวว่า ที่ทำคลิปนี้ออกมา ไม่ใช่เพราะตนเชียร์ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ตนเชียร์ความถูกต้อง ความยุติธรรม ผมเชียร์ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หมายความว่าถ้าคนอื่นที่ไม่ใช่คุณพิธา เจอแบบนี้ ผมก็ยังทำคลิปนี้อยู่ดี และผมเคยผลิตรายการให้กับไอทีวี และที่บ้านของตนเคยมีประสบการณ์การตรงกับเรื่องผู้จัดการมรดก โดยคลิปนี้ยึดหลักกฎหมายทั้งสิ้นสามารถเช็กได้


มาเริ่มกันที่ทำไมถึงไม่อยากให้นักการเมืองหรือ ส.ส.ถือหุ้นสื่อ เพราะกลัวว่านักการเมือง หรือ ส.ส.จะมีอิทธิพลต่อสื่อ เช่น เขียนข่าวเชียร์จะทำให้ได้เปรียบผู้อื่น ซึ่งระยะหลังมีคดีคล้ายกัน ที่ศาลตัดสินไปแล้วเมื่อวันที่ 2 พ.ค. ที่ผ่านมา เป็นคดีของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่ถือหุ้น AIS 200 หุ้น ซึ่ง AIS มีบริษัทลูกที่ทำสื่อ แต่ศาลตัดสินว่าไม่ผิด เพราะถือหุ้นสื่อน้อยไป น้อยจนไม่มีอำนาจไปสั่งการใดๆ ซึ่งเหมือน คุณพิธาที่ถือหุ้น ITV เพียง 42,000 หุ้น ซึ่งคิดเป็น 0.0035% เท่านั้น

 

พอล ภัทรพล ฟันธง พิธา รอดคดีถือหุ้นสื่อแน่นอน แต่มี 1 คนที่ไม่ควรรอด

แต่มีพีคกว่านี้มีเคส ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ ถือหุ้นสื่อ และบรษัทนี้จดวัตถุประสงค์ด้วยว่าเป็นสื่อ แต่ศาลดูลึกกว่านี้แล้วพบว่าบริษัทนี้ไม่ได้มีรายได้จากสื่อ แต่มีรายได้จากการอบรม จึงตัดสินว่าไม่ผิด


และยังมีเคส ส.ส.ภูมิใจไทยที่ถือหุ้นสื่อ และตัวบริษัทก็จดวัตถุประสงค์ว่าเป็นสื่อ แต่พอดูงบการเงินก็พบว่า บริษัทนี้รายได้ไม่ได้มาจากสื่อ แต่มาจากการจัดแข่งขันกีฬา ศาลจึงวินิจฉัยว่าไม่ผิด ซึ่งไม่ต่างจากเคสของ คุณพิธา และ ITV เลย


ทุกวันนี้รายได้ของ ITV มาจากการลงทุนเท่านั้น ไม่ได้มาจากสื่อ และยังไม่รวมว่ารายได้ 20 ล้านบาท แต่เป็นหนี้ถึง 1,600 ล้าน และ ITV หยุดออกอากาศตั้งแต่ปี 2550


แต่เรื่องที่พีค คือ ผู้จัดการมรดก เนื่องจากที่บ้านผมมีประสบการณ์ตรงเรื่องนี้เช่นกัน ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้ไร้สาระมาก ไม่ควรเอามาเป็นเรื่องเลยด้วยซ้ำ เพราะว่าผู้จัดการมรดกไม่ใช่เจ้าของมรดก


โดยในเว็บไซต์กระทรวงยุติธรรม ระบุว่า หน้าที่ของผู้จัดการมรดก คือ "ผู้จัดการมรดก มีหน้าที่รวบรวม ทำบัญชี และแบ่งปันทรัพย์สินซึ่งเป็นมรดกของผู้ตายให้ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของผู้ตาย และที่สำคัญ ผู้จัดการมรดก ต้องเป็นบุคคลซึ่งศาลมีคำสั่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดก"


ซึ่งไม่มีประโยคไหนเลยที่บอกว่า ผู้จัดการมรดกเป็นเจ้าของมรดก เพราะถ้าเป็นจะเขียนไว้เลยว่า ผู้จัดการมรดกนั้นเป็นเจ้าของมรดก สรุปง่ายๆคือผู้จัดการมรดกคือมีหน้าที่ไปรวมทรัพย์สินรวมถึงหนี้สินด้วย ในเมื่อผู้จัดการมรดกไม่ใช่เจ้าของมรดก ก็เท่ากับว่า คุณพิธา ไม่ใช่เจ้าของหุ้น ITV  ฟังมาตั้งแต่ต้นจนถึงตรงนี้คุณพิธาไม่เข้าข่ายอะไรเลย

 

นอกจากนี้ พอล ภัทรพล ยังกล่าวอีกว่า ทุกวันนี้มีใครดูรายการ ITV บ้าง คำตอบคือไม่มีเพราะว่า ITV หยุดออกอากาศตั้งแต่ปี 2550 หยุดไปแล้ว 16 ปี มันไร้สาระพอๆกับที่คนตายไปแล้ว ยังมีชื่อเลือกตั้งได้

 

พอล ภัทรพล ฟันธง พิธา รอดคดีถือหุ้นสื่อแน่นอน แต่มี 1 คนที่ไม่ควรรอด

 

แต่มีคนหนึ่งที่ผิดเต็มๆ คือ คสช. เพราะการทำปฏิวัติ รัฐประหารนั้น ผิดกฎหมายอาญามาตรา 113 ซึ่งทุกคนสามารถค้นหาข้อมูลได้ ซึ่งกฎหมายนี้มีมานานหลายทศวรรษแล้ว ซึ่งเขียนไว้ชัดเจนว่า 

มาตรา113  ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ


1. ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ


2. ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญ หรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ


3.  แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร


ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต


ตนไม่อยากให้ใครถูกประหาร แต่ถ้าเราจะคุยกฎหมายกัน ทำไมแบบนี้ไม่ผิด ซึ่งปัจจุบันเรามีมหาวิทยาลัยสอนนิติศาสตร์ถึง 17 มหาวิทยาลัย ถ้ากฎหมายเขียนไว้แล้วใช้ไม่ได้ ให้ทุกมหาวิทยาลัยปิดคณะนิติศาสตร์ไปเลย เพราะเรียนไปก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ทุกวันนี้คนไม่เชื่อในกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว

 

คลิกชมคลิป