- 14 มิ.ย. 2566
เสี่ยปอ โดนแฉวีรกรรมซ้ำ เอาพระเครื่องหลักพัน ไปค้ำประกันหลักล้าน ค่าหัวพุ่ง 3 หมื่น ล่าสุดถูกออกหมายจับคดีฉ้อโกง แต่ไหวตัวหลบหนีทัน
จากกรณีที่ก่อนหน้านี้ นายสมทพ หรือ เสี่ยปอ อายุ 57 ปี ชาว อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ ถูกศาลอาญามีนบุรี ออกหมายจับในคดีฉ้อโกง หลัง นักธุรกิจต่างชาติมอบหมายทนายความชาวไทย เข้าแจ้งความดำเนินคดี หลังให้โอนเงินลงทุนเข้าบัญชีกว่า 3 ล้านบาท เพื่อให้กลายเป็นหุ้นส่วนในบริษัท ก่อนจะยื่นเสนอชื่อไปทำวีซ่า แต่กลับทำไม่ได้ จึงเชื่อว่าโดนหลอก
โดยเมื่อเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.66 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ สภ.เมืองนครสวรรค์ ตรวจสอบข้อมูลพบว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ย.65 เสี่ย ปอ เข้าพบ ร.ต.อ.ศิริพศ ดาวกระจาย รอง สว.(สอบสวน) เพื่อขอแจ้งลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ว่า เงินลงทุน 3 ล้านบาท ที่ นักธุรกิจรายดังกล่าวโอนมาให้เพื่อร่วมลงทุนในนามหุ้นส่วนนั้น จะสามารถถอนกลับคืนได้ต่อเมื่อ เสร็จสิ้นการทำวีซ่า
แต่ระหว่างนั้น เสี่ย ปอ มีการวางหลักค้ำประกันเป็น พระสมเด็จวัดระฆัง มูลค่า 7 ล้านบาท และ พระหลวงพ่อปาน มูลค่า 5 ล้านบาท ให้แก่ นักธุรกิจดังกล่าว แต่ต่อมา นักธุรกิจรายนี้แจ้งความประสงค์ออกจากการลงทุนและขอคืนเงินลงทุน ส่วน นายสมทพ ต้องการขอคืนหลักค้ำประกันดังกล่าว จึงมาแจ้งไว้เป็นหลักฐาน
หลังตรวจสอบรายละเอียดการแจ้งความพบว่า เป็นห้วงเวลาเดียวกับที่ ผู้เสียหาย นำหลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีบริษัทของ เสี่ย ปอ เข้าแจ้งความในคดีฉ้อโกง หลังไม่ได้เงินคืน และ ส่งมอบหลักฐานเป็นรูป พระสมเด็จวัดระฆัง ที่ เสี่ย ปอ นำไปแจ้งลงบันทึกว่า มีมูลค่า 7 ล้านบาท เพื่อเป็นหลักค้ำประกันเงิน 3 ล้านบาท ของผู้เสียหาย
หลังจากนั้น ทีมข่าวได้ ลงพื้นที่ ไปพบกับ นายกุ้ง (นามสมมุติ) อายุ 55 ปี พ่อค้าชาว จ.พิษณุโลก ที่มาค้าขายใน จ.สุพรรณบุรี หลังทราบว่า เป็นเจ้าของพระเครื่องหลายองค์ ที่ เสี่ย ปอ ครอบครอง ก่อนยืนยันว่า "พระสมเด็จ" ที่ เสี่ยปอ นำไปวางเป็นหลักค้ำประกันทรัพย์ของผู้เสียหาย เป็นพระเก่าของตน และ ไม่ได้น่าจะมีมูลค่าสูงถึง 7 ล้านบาท เพราะตนเช่ามาในราคาเพียงแค่ 8,000 บาท
นายกุ้ง เล่าต่อว่าเมื่อ5-6 ปีก่อน เสี่ยปอ ได้เข้ามาตีสนิทกับตนหลังจากเห็นตนสะสมพระเครื่องเก่าเป็นจำนวนมาก ซึ่งพระที่ตนสะสม ไม่เน้นราคาสูง แต่เน้นความชอบ โดยตนพบพระองค์ที่ เสี่ยปอ มาเช่าบูชาต่อ มาจากจ.นครราชสีมา ตนจึงเช่ามาบูชาในราคา 8,000 บาท แต่พอ เสี่ยปอ มาเห็นพระ ก็มาพูดคุยว่าจะนำพระไปปล่อยให้ ในราคาองค์ละไม่ต่ำกว่า 3-4 แสนบาท ซึ่งตนก็แย้งว่า พระองค์นี้ มีอายุประมาณปี พ.ศ. 2500 ไม่ใช่พระสมเด็จรุ่นเก่า ของวัดระฆัง ที่คนหาเช่าในราคาสูง หลายล้านบาท แต่ เสี่ย ปอ ก็ไม่ฟังยังยืนยันจะนำพระไปปล่อยต่อในราคาสูงต่อไป
กระทั่ง เสี่ยปอ มาขอรับพระเครื่องตนไปหลายองค์อ้างไปปล่อยเช่าต่อ โดยครั้งแรกไม่ได้นำเงินค่าพระมาให้ แต่สุดท้ายก็นำรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ (รุ่นเก่า) มามอบให้ตน เพื่อหักล้างหนี้ค่าพระ โดยในวันที่นำรถเบนซ์ มามอบ เสี่ยปอ ได้นำเล่มทะเบียนรถฯ มามอบให้ด้วยตนเอง
แต่ไม่มีเอกสาร สำเนาบัตรของเจ้าของรถเบนซ์ ที่จะต้องนำไปโอนกรรมสิทธิ์ เปลี่ยนชื่อผู้ครอบครองรถ จึงไม่สามารถโอนรถได้มาตลอด ระยะเวลา 4 ปี
จนเมื่อวันก่อน เพียงชั่วข้ามคืน ได้มีชายอ้างว่า เป็นทนายประจำตัวของ เสี่ยปอ โทรศัพท์มาพูดคุย และ ขอชื่อที่อยู่ โดยแจ้งว่า จะส่งเอกสารต่างๆในการโอนเปลี่ยนชื่อรถฯ มาให้ ซึ่งหากไม่มีการนำเสนอข่าว และไม่มีการออกหมายจับเสี่ยปอ ตนก็คงจะต้องใช้รถยนต์คันดังกล่าว ไปโดยไม่มีเอกสารในการโอน ซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่า จะได้รับเอกสารในวันไหน และจะได้รับจริงหรือไม่ ก็ต้องรอลุ้นกันต่อไป
นายกุ้ง กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า โดยส่วนตัว ยอมรับว่าข้องใจที่ เสี่ย ปอ นำพระเก่าของตนที่ราคาไม่กี่พัน ไปวางค้ำแล้วแจ้งมูลค่ากับคู่กรณีในราคา 7 ล้านบาท หากเป็นการกระทำเพื่อหวังผลประโยชน์หรือหลอกลวงผู้อื่น ก็อยากให้เสี่ยปอ เลิกพฤติกรรมเหล่านี้เพราะเป็นการทำบาป
ส่วนความคืบหน้าในการติดตามตัวเสี่ยปอ ตามหมายจับ มีรายงานว่า ขณะนี้ตำรวจสอบสวนกลาง ได้รับประสานหมายจับจาก กองบัญชาการตำรวจนครบาล ในการติดตามตัว เสี่ยปอ แล้ว ขณะที่ พนักงานสอบสวน สน.นิมิตรใหม่ ระบุว่า มีชายอ้างตัวเป็น ทนายความ ของ เสี่ย ปอ ติดต่อมาว่า วันพุธที่ 14 มิ.ย. จะพา เสี่ยปอ เข้ามามอบตัว
แต่เมื่อ พนักงานสอบสวน ได้ติดต่อสอบถามเพื่อขอคำยืนยัน กลับได้รับคำตอบว่า ยังไม่สามารถระบุวันเข้ามอบตัวได้ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจ เชื่อว่า เสี่ยปอ อาจจะยังคงกบดานอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ เพราะจากข้อมูลพบว่า เสี่ยปอ ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่รีสอร์ทใหญ่ของแม่เลี้ยงคนดังเมืองเชียงราย ซึ่งน่าจะอาศัยบารมีแม่เลี้ยงคนดังกล่าวให้ช่วยวิ่งเต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รู้จักให้ช่วยในคดี ดังกล่าวอย่างแน่นอน
ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าตำรวจได้มีการประสานเจ้าหน้าที่ประเทศเพื่อนบ้าน และประสานตำรวจ ตม. ให้เฝ้าสกัดแล้วเสี่ยปอ ไว้แล้ว
หากใครพบเบาะแส เสี่ยปอ สามารถแจ้งมาได้ที่ สน.นิมิตรใหม่ หรือ โทร. 191 ได้ทุกจังหวัด โดยขณะนี้มีค่าหัวให้ผู้แจ้งเบาะแสจำนวน 30,000 บาท