- 30 มิ.ย. 2566
สิ้น “ดร.ชัยวัฒน์ แต้ไพสิฐพงษ์” ประธานกิตติมศักดิ์ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ และประธานกรรมการบริษัท เบทาโกรโฮลดิ้ง จำกัด รวมสิริอายุ 88 ปี
วันที่ 30 มิ.ย. มีรายงานการเสียชีวิตของ ดร.ชัยวัฒน์ แต้ไพสิฐพงษ์ ประธานกิตติมศักดิ์ บริษัท เบทาโกร จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ และประธานกรรมการบริษัท เบทาโกรโฮลดิ้ง จำกัด ได้ถึงแก่กรรม ณ โรงพยาบาลรามาธิบดี สิริอายุ 88 ปี
โดยจะตั้งศพสวดพระอภิธรรม ศาลา 1 (ศาลาเตชะอิทธิพร) วัดเทพศิรินทราวาส แขวงวัดเทพศิรินทร์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร กำหนดสวดพระอภิธรรม ในเวลา 18.30 น. ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 1 ก.ค. ถึงวันพฤหัสบดีที่ 6 ก.ค. และในวันเสาร์ที่ 8 ก.ค. เวลา 17.00 น. จะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพ
สำหรับ “ดร.ชัยวัฒน์ แต้ไพสิฐพงษ์” เกิดเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2478 ที่อำเภอเมือง จังหวัดสระบุรี เป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของเบทาโกรมาตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทจนถึงปัจจุบัน ด้วยวิสัยทัศน์และมุมมองที่เล็งเห็นว่า อุตสาหกรรมเกษตรและปศุสัตว์ เป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาไปสู่ธุรกิจอาหาร ทั้งยังเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต จึงมุ่งวางรากฐานพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรและปศุสัตว์ไทย โดยการริเริ่มนำระบบการจัดการและเทคโนโลยีทันสมัยเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพิ่มคุณภาพผลผลิต ทั้งการผลิตอาหารสัตว์ การพัฒนาพันธุ์สัตว์และระบบการเลี้ยงสัตว์ รวมถึงการแปรรูปเนื้อสัตว์และอาหารที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุดตลอดห่วงโซ่คุณค่าธุรกิจ ทำให้เบทาโกรเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง เป็นธุรกิจอาหารและเกษตรอุตสาหกรรมชั้นนำครบวงจรของไทย
โดยความสำเร็จที่เกิดขึ้นมีพื้นฐานมาจากแนวคิดในการดำเนินธุรกิจและการบริหารองค์กรของ “ดร.ชัยวัฒน์” ที่ว่า ความถูกต้อง ต้องมาก่อนกำไร ที่ได้ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น และถูกสะท้อนมาเป็นจุดประสงค์ในการดำเนินธุรกิจของเบทาโกร ที่ต้องการส่งมอบอาหารที่มีคุณภาพมากกว่า และความปลอดภัยที่สูงกว่า ในราคาที่เป็นธรรม เพื่อชีวิตที่ยั่งยืนสำหรับทุกคนมาจนถึงปัจจุบัน
“ดร.ชัยวัฒน์” เป็นผู้ที่มีส่วนสำคัญในการวางรากฐานและพัฒนาองค์ความรู้ด้านธุรกิจและวิศวกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเกษตรและปศุสัตว์ของไทย โดยเป็นผู้ที่นำเครื่องผสมอาหารสัตว์ที่ทันสมัยจากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เข้ามาใช้ในธุรกิจอาหารสัตว์เป็นรายแรกของประเทศ ทั้งยังได้นำเอาระบบคอมพิวเตอร์มาใช้ในการพัฒนาและคำนวณสูตรอาหารสัตว์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
นอกจากนี้ยังเป็น “ผู้บุกเบิกและพัฒนาวงการสุกรของไทย” โดยได้มีการเช่าเหมาเครื่องบินนำเข้าพ่อแม่พันธุ์สุกรจากประเทศอังกฤษ เพื่อพัฒนาและปรับปรุงสายพันธุ์ให้มีความเหมาะสมกับประเทศไทย สามารถลดต้นทุนการผลิตและให้ผลผลิตสุกรขุนที่มีคุณภาพ พร้อมทั้งสามารถแปรรูปเป็นเนื้อสุกรที่มีคุณภาพและความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ส่งผลให้สุกรพันธุ์ของเบทาโกรได้รับการยอมรับและเชื่อถือจากตลาดทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อีกทั้งยังได้มีการร่วมทุนกับกลุ่มบริษัทซูมิโตโม่ คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น ในการผลิตและจำหน่ายสุกรปลอดโรค ด้วยเทคนิคการเลี้ยงแบบ SPF (Specific Pathogen Free) ซึ่งถือเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวของไทยที่ทำให้สุกรปลอดโรคสำคัญ และปราศจากการใช้ยาปฏิชีวนะ สารเร่งเนื้อแดง รวมถึงสารเร่งการเจริญเติบโตใด ๆ ตลอดจนมีการก่อสร้างโรงงานแปรรูปสุกรที่ทันสมัย ได้มาตรฐานสุขอนามัย สำหรับการผลิตเนื้อสุกรภายใต้แบรนด์ S-Pure เพื่อจำหน่ายให้ผู้บริโภค จนกระทั่งในปี 2561 S-Pure ถือเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารรายแรกของโลกและของไทยที่ได้รับการรับรองการเลี้ยงแบบไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ (Raised Without Antibiotics – RWA) จาก NSF สหรัฐอเมริกา