- 02 ก.ค. 2566
เปิดเหตุผล พระวิระชัย บวชครั้งที่ 15 ไม่คิดสึกออกมาทางโลกอีก ยอมทิ้งทรัพย์สมบัติหมื่นล้านไปอย่างไม่เสียดาย...
จากกรณีที่ พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมาเปิดใจถึงการบวชครั้งล่าสุดว่า ตนตั้งใจว่าจะบวชไม่สึก หลังจากเข้าอุปสมบท พระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ตั้งแต่วันที่ 2 ตุลาคม 2565 หลังวันที่เกษียนราชการ 2 วัน โดยได้รับฉายา "เมตตาธีโร"
โดยการบวชในครั้งนี้มีความประสงค์และตั้งใจจริงที่จะเข้าอุปสมบทเพื่อทดแทนบุญคุณบิดา มารดา และครูบาอาจารย์ และตั้งใจว่าจะไม่สึก เนื่องจากมีความรู้สึกว่า อยู่ในผ้าเหลืองมีความสุขที่สุด สุขกว่าอยู่ทางโลกเยอะ และเพิ่งมาค้นพบอย่างถ่องแท้ว่าการบวชเป็นพระ และปฏิบัติธรรมตามแนวสติปัฏฐาน 4 เป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุด ไม่ต้องดิ้นรนไปอยู่ในทางโลก
ล่าสุดมีรายงานถึงเหตุผลที่ พระวิระชัย ตัดสินใจ “ไม่สึก” นั้น มาจากการที่ พระวิระชัย ได้กล่าวต่อหน้าพระธรรมทูตต่างประเทศ รุ่นล่าสุด ที่มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ว่า หันหลังให้กับชีวิตเดิมๆ ของตัวเอง “เรามีความรู้สึกว่า อยู่ในผ้าเหลือง มีความสุขที่สุดแล้ว”
ในเรื่องของธุรกิจ เมื่อเราตายไปแล้ว เอาอะไรไปไม่ได้เลย อ้าว แล้วเราเหนื่อยไปทำใหม่ ตอนนี้ก็ทำงานจนเกษียณแล้ว แล้วพอตายเอาอะไรไปไม่ได้เลยหรือ ตอนแรกก็เข้าใจว่าการที่เราสร้างวัดไว้เยอะๆ วัดทรงเมตตาวนาราม ที่สัตหีบ วัดป่าพุทธทรงเมตตา ที่เชียงราย วัดทรงเมตตา ที่สุรินทร์ ก็คิดว่าน่าจะได้ขึ้นสวรรค์ หรือเป็นทาง นำไปสู่นิพพานได้ พอมาศึกษาตอนบวชครั้งที่ 15 ก็ได้เห็นว่าสิ่งที่เราทำไป มันแค่การบริจาคทาน ได้แค่ละความโลภ แต่มันไม่สิ้นเหตุแห่งการเกิดได้ การจะสิ้นแห่งการเกิดได้ ต้องเจริญภาวนา
มาเจอหลวงพ่อกิตติเชษฐ์ ท่านสอน ทำให้เรามีจิตรวมและตั้งมั่น ทำให้เราได้สติ ระหว่างนั้น หลวงพ่อก็จะถามว่า อยากกลับไปเป็นนักธุรกิจไหม ความรู้สึก เราไม่อยากไปเป็น ถามว่าอยากรวยไหม เราก็บอก ไม่อยากรวย ท่านก็ถามว่า อยากไปนิพพานไหม อยาก ถามว่าอยากสึกไหม ไม่อยากสึก
เรามีความรู้สึกว่าอยู่ในผ้าเหลือง มีความสุขแล้ว สุขกว่าอยู่ทางโลกเยอะเลย เพิ่งมาค้นพบอย่างถ่องแท้ว่า การบวชเป็นพระ และปฏิบัติธรรมตามแนวสติปัฏฐาน 4 เป็นช่วงชีวิตที่มีความสุขที่สุด ไม่ต้องดิ้นรนไปอยู่ในทางโลก
ยิ่งปฏิบัติทุกวัน ยิ่งสั่งสมอริยทรัพย์ ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน การทำบุญด้วยทรัพย์สินเงินทองมากเพียงใดก็ตาม ก็ยังไม่ได้อานิสงส์ มากเท่ากับการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ที่จะทำให้เราพ้นทุกข์ได้ เมื่อผมพบอย่างนี้ ผมจึงคิดไม่สึก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา