"ชูวิทย์" โชว์หลักฐานเปิดแชทคุยกับ "เศรษฐา" เมื่อปี65 ชัดเจนทุกประโยค

ชูวิทย์ งัดหลักฐานเปิดแชทคุยกับ เศรษฐา ทวีสิน เมื่อปี 65 เผยประโยคสนทนา รู้จักกันมากๆ ดีกว่าครับ อนาคตคุณยังอีกไกล"


   7 ส.ค.66 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นำเอกสารหลักฐานมายื่นต่อสำนักงาน ป.ป.ช.เพื่อขอให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าพนักงานที่ดินเขตพระนคร กรณีการปล่อยปละละเลยให้มีการหลีกเลี่ยงภาษีโอนซื้อขายที่ดิน พร้อมกับได้อธิบายถึงกรณีที่มีการพาดพิงถึงตนเองว่ามีข้อขัดแย้งกับนายเศรษฐา ทวีสิน

  \"ชูวิทย์\" โชว์หลักฐานเปิดแชทคุยกับ \"เศรษฐา\" เมื่อปี65 ชัดเจนทุกประโยค

 

   การที่ตนออกมาแฉมาจากการที่ซื้อขายที่ดินที่ไม่ลงตัว ซึ่งนายชูวิทย์ก็ยืนยันว่า ยังไม่มีการทำสัญญาตกลงซื้อขายที่ดินแต่อย่างใด เนื่องจากยังติดสัญญาการซื้อขายกับบริษัท ไร มอน แลนด์ ซึ่งตกลงซื้อขายกันในราคา 1,600 ล้านบาท โดย ไรมอนแลนด์ ได้มีการมีการจ่ายมัดจำมาแล้ว 400 ล้านบาท ยังคงเหลือค้างชำระอีก 1,200 ล้านบาท ซึ่งต้องชำระภายในเดือนธันวาคมนี้ ทำให้ตนเองทำธุรกรรมหรือซื้อขายที่ดินดังกล่าวไม่ได้โดยเด็ดขาด เนื่องจากติดสัญญาดังกล่าว

 

\"ชูวิทย์\" โชว์หลักฐานเปิดแชทคุยกับ \"เศรษฐา\" เมื่อปี65 ชัดเจนทุกประโยค


    ส่วนกรณีที่นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายของนายเศรษฐาได้ไปยื่นฟ้องนายชูวิทย์ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาจากการที่ตนแฉว่านายเศรษฐา เลี่ยงภาษีซื้อขายที่ดินผืนดังกล่าวนั้น มองว่า เป็นการจงใจขุดหลุมพรางของตนเอง ตั้งแต่การแถลงข่าวแฉครั้งที่แล้ว เนื่องจากตนยังมีหลักฐานเด็ด ที่ระบุว่าการซื้อขายที่ดินดังกล่าว ไม่ได้เป็นการวางแผนภาษีแต่เป็นการจงใจหลีกเลี่ยงการเสียภาษี ทำให้รัฐต้องเสียประโยชน์กว่า 521 ล้านบาท ซึ่งตนมีหลักฐานเป็นหนังสือที่ลงนามโดยอดีตอธิบดีกรมที่ดิน 2 คนในปี 2552 และ 2556  ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ที่ระบุว่าการซื้อขายที่ดินในลักษณะโฉนดแปลงเดียวไม่สามารถทำสัญญาซื้อขายกันคนละฉบับ

 

   หรือเป็นการกระทำที่กระจายภาษี ซึ่งไม่สามารถทำได้ ซึ่งการซื้อขายที่ดินครั้งนี้ ผู้ซื้อคือ บมจ.แสนสิริ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในการเสียภาษีโอนที่ดิน จึงตกลงกับผู้ขายในการแบ่งโอนเป็นรายย่อย 12 ราย เพื่อเลี่ยงการโอนในรูปแบบของคณะบุคคล ซึ่งจะมีการเสียภาษีที่สูงกว่า ดังนั้นจึงเห็นว่านายเศรษฐาไม่มีคุณสมบัติเหมาะที่จะเป็นนายกฯ 


    ส่วนกรณีที่ตอนนี้มีคนกำลังพยายามโจมตีตนเรื่องที่ดิน ที่มีภาพปรากฎว่าตนมีการพูดคุยกับนายเศรษฐา นั้น นายชูวิทย์ กล่าวว่า "คุณโจมตีผมไปเถอะผมของแข็ง" พร้อมชี้เเจงว่า ภาพดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 กันยายน ปี 2565  ได้มีการพูดคุยกันจริง

 

   แต่การพูดคุยในครั้งนั้น นายเศรษฐา ส่งคนมาเชิญตนไปพูดคุยด้วย เพื่อจะขอซื้อที่ดินของตน แต่ที่ดินผืนดังกล่าวยังติดสัญญาอยู่กับบริษัทไรมอนแลนด์ จึงไม่สามารถขายให้นายเศรษฐาได้ ซึ่งรายละเอียด เนื้อหาการพูดคุยมีเพียงเท่านี้ และในการพูดคุยกันในวันนั้นนายเศรษฐา ยังบอกกับตนว่าในชีวิตนี้ไม่เคยคิดที่จะเป็นนักการเมือง แต่สุดท้ายกลับยกตัวเองขึ้นมาเป็นเเคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย อาศัยการขึ้นรถไฟความเร็วสูงสายยิ่งลักษณ์ 

\"ชูวิทย์\" โชว์หลักฐานเปิดแชทคุยกับ \"เศรษฐา\" เมื่อปี65 ชัดเจนทุกประโยค

  โดย นายชูวิทย์ โชว์หลักฐานเปิดแชทคุยเศรษฐา   ในวันที่ 16 กันยายน ปี 2565 ซึ่งนายชูวิทย์ได้ส่งข้อความไปว่า

"ผมเห็นว่าวันก่อน คุณค่อนข้างหงุดหงิด รักษาสุขภาพดีกว่าครับ อายุก็ห่างกับผมไม่มาก มีความสุขใจดีกว่า เงินก็มีเยอะอยู่แล้ว" จากนั้นก็ส่งข้อความไปอีกประโยค ว่า

"รู้จักกันนานๆ มากๆ ดีกว่าครับ อนาคตคุณยังอีกไกล" 

 

   ทางด้านนายเศรษฐา ก็ส่งข้อความกลับมาว่า "ขอโทษที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นครับ ไม่ได้หงุดหงิดเลยครับ เป็นคนใจร้อน อยากให้ถึงเป้าหมาย มีเงินน้อยกว่าคุณชูวิทย์ มีรายจ่ายเยอะกว่าครับ" 

 

  นายชูวิทย์ กล่าวว่า หลังจากนั้นในเดือนธันวาคมปี 65 นายเศรษฐาได้ส่งกระเช้ามาให้ตน ตนจึงส่งข้อความอวยพรกลับไปให้ ซึ่งจะเห็นว่าการพูดคุยและการพบเจอกันนั้น เป็นความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ได้มีปัญหาหรือเรื่องขุนข้องหมองใจใดๆ กัน ซึ่งตนพิพากษ์วิจารณ์นายเศรษฐาด้วยใจเป็นธรรม ในกรณีที่นายเศรษฐาจะเป็นนายกรัฐมนตรี ถึงแม้นายเศรษฐาจะฟ้องร้องตน ก็ฟ้องไป 

\"ชูวิทย์\" โชว์หลักฐานเปิดแชทคุยกับ \"เศรษฐา\" เมื่อปี65 ชัดเจนทุกประโยค

  กรณีที่มีคนกล่าวหาว่าสิ่งที่ตนออกมาแฉนั้นเพื่อจะยกตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้กับ"บิ๊กป้อม" พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือไม่ ??

 

    ตนเองไม่ได้มีปัญหากับพรรคเพื่อไทย เพราะแคนดิเดตนายก ยังมีอีก 2 คน นั่นคือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร และ นายชัยเกษม ดังนั้นสิ่งที่ถูกกล่าวหาจึงไม่เป็นความจริง อีกทั้งสิ่งที่ตนออกมาแฉทั้งหมดก็มีพยานหลักฐาน มีลายลักษณ์อักษร /หากคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี มีเล่ห์เหลี่ยมทางการค้า ออกอุบายหลีกเลี่ยงภาษี ตนเองรับไม่ได้ได้ เพราะสิ่งที่กระทำนั้นไม่ใช่เป็นการวางแผนภาษี แต่เป็นการวางแผนโกงภาษี ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย 521 บาท ดังนั้นจึงมองว่า นายเศรษฐา ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอในการเป็นนายกรัฐมนตรี

 

   เมื่อถามว่าในเมื่อมีหลักฐานปรากฎเช่นนี้เเล้ว เเต่เหตุใดทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทย จึงยืนยันว่าการกระทำนิติกรรมดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง นายชูวิทย์ ตอบว่า กฎหมายอยู่ที่ผู้ใช้ ทนายความก็มีสิทธิ์เข้าข้างลูกความของตัวเอง  ดังนั้นสิ่งที่หนีไม่พ้นมีอยู่ 2 สิ่ง คือความตาย และภาษี