- 06 ต.ค. 2566
"หมอธีระวัฒน์" ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้ออกมาโพสต์ข้อความเตือน ระบุในหัวข้อ แก่แล้วกินยาแก้แพ้ อาจสมองพัง
"หมอธีระวัฒน์" ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้ออกมาโพสต์ข้อความ ระบุว่า
แก่แล้วกินยาแก้แพ้ อาจสมองพัง
ยาแก้แพ้ แก้เวียน เมารถ เมาเรือ เป็นยาปลอดภัยพอสมควรจัดเป็นยาโบราณ ยกเว้นยาสมัยใหม่ที่ต้องทานนานพอสมควรถึงจะเริ่มแสดงฤทธ์
ยาเหล่านึ้นอกจากเรื่องแพ้ เวียนหัว บ้านหมุน ยังนำมาใช้เป็นยานอนหลับ เฉพาะกิจ เห็นได้ตามร้านซุปเปอร์มาเก็ตทั่วไปเช่นในต่างประเทศ และยังมีสรรพคุณลดอาการสั่นที่เจอในโรคพาร์กินสันได้ดีพอสมควร
ข้อเสียที่มีพ่วงตามมาคือง่วง อาจจะเกิดอันตรายเวลาขับรถ ทำงานกับเครื่องจักร เป็นต้น
ฤทธิ์สำคัญคือต้านระบบ Cholinergic (Anti- cholinergic, AC)
ดังนั้น อาจมีปากแห้ง น้ำลาย น้ำตาแห้งร่วม บางรายที่มีปัญหาเรื่องปัสสาวะ ก็อาจจะต้องเบ่งและอาจกระทบเรื่องความดันสูงในลูกตา โดยเฉพาะคนเป็นต้อหิน ยาที่มีฤทธิ์ดังกล่าว มียานอกกลุ่มแก้แพ้ด้วย ทั้งนั้มีการจัดอันดับความแรง (Anticholinergic burden score) เป็น 1-2-3 โดยแรงมากคือ เบอร์ 3 ที่ถูกจัดเป็นแรงมาก เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้เวียน Chlorpheniramine Dimenhydrinate (Dramamine) Diphenhydramine (Benadryl) Meclizine
ยาอารมณ์ดีด้านเศร้า เช่น doxepin nortriptyline ยาช่วยอาการปัสสาวะลำบากหรือผิดปกติรวมทั้งช้ำรั่ว เช่น Darifenacin Oxybutynin Tolterodine (Detrusitol) Trospium Solifenacin
เริ่มอย่างน้อยตั้งแต่ปี 2005 มีการตั้งข้อสังเกตว่ายากลุ่มต่างๆที่มีฤทธ์ AC นี้ จะมีผลทำให้สมองเฉื่อยชาไม่แล่น เพราะยากระตุ้นสมองที่ใช้ในสมองเสื่อม (แต่ไม่ชะลอโรค) ออกฤทธิ์ทางเพิ่มสาร Acetylcholine รวมทั้งมีการตรวจประเมินทางพุทธิปัญ (cognitive function) แต่หลักฐานไม่แน่นแฟ้นโดยที่อาจเนื่องจากอายุมากอยู่แล้ว และโดยที่สมองเสื่อมอาจไม่สัมพันธ์กับยา AC โดยตรง และยังเนื่องจากไม่มีดัชนีทางชีวภาพ (Biomarker) ที่เป็นเรื่องเป็นราวชัดเจน
การศึกษาที่เป็นชิ้นเป็นอันจริงๆ มาจากกลุ่ม Alzheimer”s Disease Neuroimaging Initiative (วารสารสมาคมแพทย์อเมริกันทางประสาทวิทยาปี 2016)
ทั้งนี้มีกลุ่มในการศึกษาที่ไม่ได้ใช้ยากลุ่มต้าน Cholinergic (แทนด้วย AC - ) 350 ราย และกลุ่มที่ใช้ยา AC ในระดับฤทธิ์ 2 และ 3 (AC+) 52 ราย ลักษณะประจำกลุ่มที่คล้ายคลึงกันคืออายุเฉลี่ย 73 ปี ผู้ชาย ผู้หญิงใกล้เคียงกัน ระดับการศึกษาพอกัน มียีนอัลไซเมอร์ (28% AC+ เทียบกับ 25% ใน AC_) เป็นคนขาว (84.6 ต่อ 94.2%) ปริมาณชนิดของยาที่ใช้ประจำ ใกล้กัน ทั้งสองกลุ่มนี้มีไม่มากนักที่เคยเป็นอัมพฤกษ์ โรคหัวใจ หรือเคยผ่าตัดหัวใจ เส้นเลือด หรือเป็นเบาหวาน รวมทั้งเป็นโรคนอนกรน อากาศไม่เข้าสมอง (ซึ่งอาจสุ่มเสี่ยงสมองเสื่อม) หัวใจเต้นระริก AF ซึ่งจะมีลิ่มเลือดไปอุดเส้นเลือดสมอง โรคซึมเศร้า กังวล นอนไม่หลับ รวมทั้งสมาธิสั้น โรคจิต และอุบัติเหตุสมอง ที่มีเยอะใกล้กันทั้ง 2 กลุ่มคือ มีความดันสูง ไขมันสูง ประมาณกึ่งหนึ่ง และทั้งสองกลุ่มถนัดขวาเป็นส่วนมาก
การติดตามสมองมีทั้งการประเมินพุทธปัญญา (Cognitive scores) การตรวจดูเมตาบอลิซึ่มของสมองด้วยเครื่อง PET scan (FDG) ดูการใช้กลูโคสของสมอง รวมทั้งดูความเหี่ยวฝ่อของสมอง โดยใช้คอมพิวเตอร์สมองสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) โดยมีการวัดขนาดปริมาตรของสมองแต่ละส่วนอย่างละเอียดเป็นระยะ
จากการติดตาม 96 เดือน ผลปรากฏว่ากลุ่ม AC+ มีความฝ่อของสมองทั้งปริมาตร เปลือกสมองและบริเวณกลีบขมับ (ควบคุมความจำ) และเนื่องจากสมองฝ่อเลยทำให้มีช่องโพรงน้ำในสมองกว้างขึ้น (Lateral และ Inferior lateral ventricle volumes) รวมทั้งมีการทำงานถดถอยจากการตรวจสมองด้วย PET Scan การตรวจทางพุทธิปัญญามีทั้งความจำ การทำงานด้านการจัดการ (Executive) พบมีคะแนนเลวกว่ากลุ่ม AC_ โดยเฉพาะกลุ่ม AC+ ที่ใช้ยาแรงระดับ 3
กลไกของยา AC ไม่ทราบแน่ชัด การทดลองในหนูที่ตบแต่งพันธุกรรมให้เป็นอัลไซเมอร์ พบว่าการเพิ่มประสิทธิภาพของการเชื่อมโยงของระบบ Cholinergic จะลดความเสื่อมได้ ดังนั้นการต้านระบบรวมทั้งการทำลายสมองที่เป็นระบบ Cholinergic ในสมองส่วน Basal forebrain อาจได้ผลในทางตรงข้าม
สมมุติฐานอีกประการคือ การได้ยา AC ทำให้ระดับฮอร์โมนสเตียรอยด์สูงขึ้น เหมือนกับที่พบในความเครียดเรื้อรังและจะมีสารพิษในสมองมากขึ้น โดยที่มีการควบคุมการบิดเกลียวของโปรตีนในสมองไม่ดี กลายเป็นสารพิษทำลายสมอง
จะอย่างไรก็ตาม ยาแก้แพ้รวมยากลุ่มอื่นๆ ทางปัสสาวะและช้ำรั่ว ยาอารมณ์ดี เป็นยาสำคัญและมีประโยชน์ ดังนั้นต้องพิจารณาความจำเป็นและขนาดของยาที่ใช้ และระยะเวลาที่ใช้ แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่ายาสมองเสื่อมอัลไซเมอร์ที่เพิ่มสาร Acetylcholine จะสามารถทำให้ให้เซลล์สมองเปล่งปลั่ง ตายช้า ตายยากได้นะครับ อาจเป็นคนละเรื่องเดียวกัน