- 02 พ.ย. 2566
พบแล้ว "จารึกเสาอินทขีลประตูท่าแพ" ที่แท้ยังคงปักยืนตระหง่าน ซ่อนตัวอยู่ภายในโครงสร้างประตูท่าแพ จนถึงปัจจุบัน ...
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 เพจสำนักศิลปากรที่ ๗ เชียงใหม่ ระบุ ตามที่สังคมให้ความสนใจตามหา "จารึกประตูท่าแพ" หรือ "จารึกเสาอินทขีลประตูท่าแพ" เมืองเชียงใหม่ และได้มีกลุ่มนักวิชาการบางส่วนให้ข้อมูลว่า จารึกดังกล่าวเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงใหม่ เพื่อทำให้ประเด็นข้อสงสัยดังกล่าวกระจ่างชัดมากยิ่งขึ้น สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ จึงได้ประสานข้อมูลกับภาคส่วนต่าง ๆ จนทำให้เริ่มพบเบาะแสของจารึกประตูท่าแพ ซึ่งไม่มีผู้ใดพบเห็นเลย ตลอดระยะเวลาเกือบ 4 ทศวรรษ
เพื่อไขปริศนาดังกล่าว เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ นำโดย นายเทอดศักดิ์ เย็นจุระ ผู้อำนวยการกลุ่มอนุรักษ์โบราณสถาน พร้อมด้วย ผู้แทนเทศบาลนครเชียงใหม่ ผู้แทนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผู้แทนคณะวิจิตรศิลป์ ผู้แทนคลังข้อมูลจารึกล้านนา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และนักวิชาการท้องถิ่น ร่วมกันเปิดประตูห้องที่ซ่อนอยู่ภายในโครงสร้างประตูท่าแพปัจจุบัน
ซึ่งไม่ได้เปิดมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี และเข้าไปทำการสำรวจภายในจนพบว่า "จารึกประตูท่าแพ" หรือ "จารึกเสาอินทขีลประตูท่าแพ" ยังคงปักยืนตระหง่าน ซ่อนตัวอยู่ภายในโครงสร้างประตูท่าแพ จนกระทั่งปัจจุบัน นำมาซึ่งความปิติของทีมผู้ร่วมค้นหาทุกท่าน
ทั้งนี้จารึกประตูท่าแพ เป็นหนึ่งในจารึกหลักสำคัญที่ฝังอยู่ร่วมกับประตูเมืองมาตั้งแต่อดีต ต่อมาราวช่วงปี พ.ศ. 2529 - 2530 จารึกหลักนี้ถูกเคลื่อนย้ายในช่วงระยะเวลาที่มีการปรับปรุงประตูท่าแพให้เป็น Landmark ของเมืองเชียงใหม่ หลังจากนั้น ก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นจารึกประตูท่าแพตลอดระยะเวลาเกือบ 40 ปี จนกระทั่งมีการตามหาจนพบในวันนี้
สำหรับความสำคัญของจารึกประตูท่าแพ จากการศึกษาของ ศ.ประเสริฐ ณ นคร พบว่า เป็นจารึกอักษรธรรมล้านนา ตารางบรรจุตัวเลข และวงดวงชะตา ข้อความอักษรเมื่อถูกกลับให้ถูกทิศทางแล้วถอดความตามส่วนดังนี้ ข้างบนมีข้อความว่า "อินทขีล มังค (ล) โสตถิ" ข้างซ้ายมีข้อความว่า "อินทขีล สิทธิเชยย" ข้างขวามีข้อความว่า "อิน...." และข้างล่างมีข้อความว่า "อินทขีล โสตถิ มังคล"
โดยคำสำคัญที่ปรากฏในจารึกหลักดังกล่าวว่า "อินทขีล" เป็นภาษาบาลี แปลว่า เสาเขื่อน เสาหลักเมือง หรือธรณีประตู จึงสรุปนัยสำคัญได้ว่า จารึกหลักนี้ มีความสำคัญในฐานะเสาประตูเมือง
นอกจากข้อความข้างต้นแล้ว จารึกประตูท่าแพยังมีความพิเศษตรงที่ เทคนิคการทำจารึก ซึ่ง แต่เดิมจารึกด้านที่ 1 ไม่มีผู้ใดสามารถอ่านได้ตลอดระยะเวลาหลายสิบปี จนกระทั่งในช่วง พ.ศ. 2529 อ.เรณู วิชาศิลป์ แห่งวิทยาลัยครูเชียงใหม่ (ขณะนั้น) ได้ค้นพบและเสนอว่าเป็นจารึกตัวหนังสือกลับ คล้ายดังเป็นเงาในกระจก จึงสามารถอ่านจารึกประตูท่าแพได้
การค้นพบจารึกหลักสำคัญที่หายไปจากความทรงจำในวันนี้ สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ ต้องขอขอบคุณผู้มีส่วนร่วมสำคัญทุกท่าน ประกอบด้วย ศาสตราจารย์เกียรติคุณสุรพล ดำริห์กุล, พ่อครูศรีเลา เกษพรหม ศูนย์การเรียนรู้จารึกและเอกสารโบราณ, เทศบาลนครเชียงใหม่, คุณอรช บุญ-หลง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, ผศ. ดร. ปรัชญา คัมภิรานนท์และ ผศ.กรรณ เกตุเวต คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, และ ดร.อภิรดี เตชะศิริวรรณ คลังข้อมูลจารึกล้านนา สำนักส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เครดิตภาพสำเนาจารึกฯ : ฐานข้อมูลจารึกในประเทศไทย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) และภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร