- 08 พ.ย. 2566
ผลตรวจสารเสพติดในเส้นผมลูกจ้างร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดังออกแล้ว ระบุไม่มีสารเสพติดใดๆ ด้านเจ้าตัวดีใจหลังทราบผล ขอไม่พูดถึงตัวนายจ้างอีกปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมาย
จากกรณีความคืบหน้าคดีที่ลูกจ้างสาว อายุ 21 ปี ร้องเอาผิด "นายจ้าง" เจ้าของร้านอาหารญี่ปุ่น ทำร้ายร่างกายและใช้แรงงานอย่างหนักโดยไม่ได้รับค่าจ้างที่เหมาะสม แต่ถูกเจ้าของร้านแจ้งความกลับฐานลักทรัพย์ อีกทั้งยังกล่าวหาว่าลูกจ้างสาวเสพยาเสพติดจนหลอน มีอาการจิตเวชทำร้ายตัวเอง ไม่ใช่การถูกทำร้ายร่างกาย ทำให้นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ต้องพาลูกจ้างสาวร้านญี่ปุ่นนำเส้นผมส่งตรวจหาสารเสพติดที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์
ล่าสุด วันนี้ (8 พ.ย. 66) เวลา 11.00 น. ที่ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 ได้ร่วมกันแถลงผลตรวจสารเสพติดในเส้นผม เคสลูกจ้างสาวถูกนายจ้างทารุณกรรมที่ร้านอาหารญี่ปุ่น โดยดร.ธนสิริ ยกเชื้อ หัวหน้ากลุ่มตรวจพิสูจน์ทางเคมี สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้เปิดเผยผลการตรวจสารเสพติดจากเส้นผมลูกจ้างสาว ความยาว 10.3 เซนติเมตร ว่า ตั้งแต่ห้วงเดือนธันวาคม 2565 ถึงปัจจุบัน หรือประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ตามความยาวเส้นผม ไม่พบสารเสพติดหรือสารแปลกปลอมทั้ง 28 รายการ ซึ่งครอบคลุมยาเสพติดทุกประเภทที่แพร่ระบาดในประเทศไทย
ขณะที่พันตำรวจโทเชน กาญจนาปัจจ์ รองผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เปิดเผยว่า จากการให้ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชของสถาบันฯ พูดคุยและประเมินอาการเบื้องต้นของลูกจ้างสาว และให้ลูกจ้างสาวทำแบบประเมินทางจิตเวช พบว่าภาวะซึมเศร้าหรือการฆ่าตัวตายอยู่ในระดับน้อย , ระดับความเครียดปานกลาง ซึ่งทั้งสองอย่างอยู่ในเกณฑ์คนปกติทั่วไป , ไม่พบอาการหูแว่ว ประสาทหลอน , การแสดงสีหน้าและอารมณ์ สอดคล้องกับเรื่องที่เล่า ดังนั้นโดยภาพรวมผู้เชี่ยวชาญไม่พบความผิดปกติทางจิตเวช
ด้านนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด เปิดเผยว่า ผลตรวจเหล่านี้เป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของลูกจ้างสาวแล้วว่า ไม่ได้มีการเสพยาเสพติดจนหลอนทำร้ายตัวเอง หลังจากนี้จะเดินหน้าดำเนินคดีกับนายจ้างในข้อหาทำร้ายร่างกาย และข้อหาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง จากกรณีให้สัมภาษณ์กล่าวหาว่าลูกจ้างสาวเสพยาเสพติดจนหลอน มีอาการทางจิตเวชและทำร้ายร่างกายตัวเอง ซึ่งเป็นเรื่องโกหกทำให้ลูกจ้างสาวเสื่อมเสียชื่อเสียง
ด้านลูกจ้างสาว กล่าวว่า ดีใจที่ผลการตรวจยืนยันว่าตนเองไม่ได้เสพยาเสพติด ตัวเองไม่ได้เป็นคนแบบนั้น และรู้สึกได้ความยุติธรรมกับคืนมา รู้สึกสบายใจขึ้น ที่ผ่านมาสภาพจิตใจค่อนข้างย่ำแย่ ไม่ขอพูดถึงอะไรถึงนายจ้างหลังจากที่ถูกกล่าวหามาตลอด ขอปล่อยให้เป็นไปตามกฎหมายดีกว่า หลังเกิดเหตุก็ไม่ได้คุยกับนายจ้างอีกเลย แต่ทางนายจ้างพยายามติดต่อมาที่คนรอบข้างเพื่อขอไกล่เกลี่ย และขอให้ไม่เอาเรื่อง และไม่ได้มีการข่มขู่ใดๆ