- 30 พ.ย. 2566
"หมอธีระวัฒน์" ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา เปิดข้อมูล ระบุประเด็น ความวิตกกังวล กับการ การฝึกเจริญสติ สมาธิ เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มาก ๆ
"หมอธีระวัฒน์" ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ได้ออกมาโพสต์ข้อความ ระบุว่า
วิตกกังวล สมาธิช่วยได้
ความวิตกกังวล เป็นกลไก ตามธรรมชาติ ที่ทำให้คนเราต้องมีความรอบคอบในการทำงาน ทำกิจกรรมให้ไม่ผิดพลาด และผลงานออก มาสมบูรณ์
แต่ถ้ามีมากเกินไป จนเพี้ยนจะกลับกลายเป็นได้ผลลบในทางตรงข้าม
และจนถึงขนาดที่ทำงานไม่ได้ จนต้องออกจากงาน
ความวิตกกังวล มีได้ หลายรูปแบบ โดยที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเอง เมื่อมีเหตุการณ์หรือสถานการณ์บางอย่างเข้ามากระทบ
โดยปกติ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะวิตกกังวล จะเป็นคนที่มีบุคลิกบางอย่างที่เฉพาะเจาะจงเช่น อายผู้ อายคน รู้สึกไม่สะดวกใจจนกระทั่งถึงต้องหลีกหนีเมื่อพบคน หรือต้องเจอะเจอสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย
และยิ่งประกอบกับเคยมีภาวะเครียดหรือ มีเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจในวัยเด็กหรือแม้แต่วัยโตก็ตาม และถ้ามีคนในครอบครัวที่มีลักษณะเช่นนี้อยู่รวมกระทั่งโรคทางกายที่ผิดปกติซึ่งรวมถึงโรคของต่อมไธรอยด์และโรคหัวใจเต้นผิดปกติ
ภาวะความผิดปกติ วิตกกังวล ออกมาได้ในหลายรูปแบบ ได้แก่
* โรควิตกกังวลโดยทั่วไป กังวลกับเรื่องทั้งหลายทั้งปวง เรื่องสุขภาพตนเอง เรื่องงาน เรื่องความสัมพันธ์กับผู้คน ลื่นไหลไปแทบทุกเรื่อง จนกระวนกระวาย ไม่มีสมาธิ และนอนไม่ได้หรือนอนไม่ดี
* ภาวะแพนิค (Panic) ความรู้สึกกลัวกระทันหัน คาดการณ์ไม่ได้เมื่อเจอสิ่งที่ไม่ชอบ เข้ามากระทบเกิดเหงื่อแตก ใจสั่น เจ็บหน้าอกรู้สึก เหมือนมีก้อนจุกคอ จนกระทั่งต้องไปห้องฉุกเฉิน กลัวหัวใจวาย
* ภาวะตื่นกลัว โฟเบีย (phobia) มักเป็นกับบางสิ่งบางอย่างที่เฉพาะเจาะจง เช่น กลัวงู จิ้งจกแมลงสาบ กลัวเลือด กลัวความสูง กลัวถูกฉีดยา
* กลัวเวลามีปฏิสัมพันธ์ในสังคม จะกังวลว่าจะมีคนมานินทา หรือกลัวว่าตัวเอง จะทำขายหน้า เป็นที่ตลกขบขันเลยไม่ยอมเข้าสังคม ภาวะกลัวยังมีไปจนกระทั่งถึงกลัวที่แคบ ที่โล่ง อยู่ในกลุ่มคนหนาแน่น หรือแออัด รวมทั้ง ในรถโดยสารสาธารณะ และที่รุนแรงจนกระทั่งไม่ยอมออกจากบ้าน
* นอกจากนั้นยังมีภาวะกังวลต่อการต้องพลัดพรากจากพ่อแม่จากคนที่รัก
วิตกกังวลเป็นได้ทุกอายุโดยเริ่มตั้งแต่เด็กวัยรุ่นขึ้นมา จนแก่ และทั้งโลกมีประมาณ 301 ล้านคนที่มีความแปรปรวนนี้
และภาวะลำไส้หงุดหงิด (irritable bowel syndrome) ท้องผูก ท้องเสีย สลับกันไปมา อาจมีส่วนเกี่ยวพันกับภาวะวิตกกังวลด้วย
เมื่อถูกกระทบกับภาวะจิตตก เช่นนี้และช่วยเหลือตนเองไม่ได้จำเป็นต้อง อาศัยการควบรวมปรึกษานักจิตวิทยาคลินิกโดยไม่ใช้ยา และหลีกเลี่ยงกาแฟ ในกรณีที่มีใจสั่นใจเต้นเร็ว จนกระทั่งถึงต้องใช้ นักจิตวิทยาบำบัด และใช้ ยาร่วมด้วยโดย แพทย์เฉพาะทาง
ยาที่ใช้เป็นตระกูล แอนตี้ คือแอนตี้ความวิตกกังวล (anti-anxiety) แอนตี้ความหดหู่ซึมเศร้า (anti-depressant) จนกระทั่ง ยาแอนตี้ความดัน บางกลุ่มที่มีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการใจสั่น ใจเต้นเร็ว และตัวสั่น มือสั่น
การศึกษาของคณะทำงาน anxiety research program ที่ Georgetown university medical center วอชิงตันดีซี
และรายงานในวารสารของสมาคมแพทย์อเมริกัน JAMA Psychiatry วันที่ 9 พฤศจิกายน 2022
จุดประสงค์ที่จะช่วยคนที่เจ็บป่วยที่ไม่สามารถที่จะเข้าถึงการรักษาทางจิตวิทยาบำบัด รวมกระทั่งถึงการที่ต้องใช้ยาโดยต้องไปพบแพทย์เฉพาะทาง
จึงได้ทำการวิจัยถึงการทำสมาธิ ที่เรียกว่า mindfulness meditation การทำสมาธิเจริญสติให้จดจ่อ อยู่กับช่วงเวลาของปัจจุบันซึ่งต่างจาก พฤติกรรมบำบัด (cognitive behavioral psychotherapy)
กลุ่มเจริญสติจะมีการเข้าคลาสเป็นกลุ่มอาทิตย์ละ 2.5 ชั่วโมงและหนึ่งวันเต็มในวันสุดสัปดาห์นอกจากนั้นจะให้ฝึกทำเองที่บ้านวันละ 45 นาทีโดยเป็นการเรียนและฝึกฝน สมาธิเจริญสติให้จดจ่อกำหนดลมหายใจสำรวจร่างกายตนเองและสำรวจจิตที่มีการเคลื่อนไหว
เมื่อเสร็จสิ้นลงที่แปดอาทิตย์ พบว่าได้ผลเท่ากัน กับกลุ่มใช้ยา laxapro
ดังนั้นการเจริญสติสมาธิจดจ่อน่าจะเป็นวิธีการรักษาแบบแรกก่อนที่จะเริ่มใช้ยาด้วยซ้ำ
การเจริญสตินั้นเป็นการเรียนเพื่อที่จะรับรู้สภาพปรับตัวกับสถานการณ์โดยไม่รู้ตัวและจะไม่มีการตัดสินถูกผิดใดๆทั้งสิ้น ในความคิดของตนเองและเป็นการสอนตนเองให้ สามารถให้อภัยตนเองได้โดยไม่ต้องฝืนใจและไม่ต้องให้คนอื่นปลอบใจ แต่ทั้งนี้ การฝึกมีการฝึกเป็นกลุ่มซึ่งสามารถทำให้เรียนรู้ตนเองได้ง่ายขึ้น
การฝึกเจริญสติในลักษณะนี้ ไม่ถึงกับต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ therapist และสามารถทำได้ แม้กระทั่งในที่ทำงาน หรือเวลาไปฝึกโยคะ ใครๆ ก็สามารถเรียนและฝึกทำได้ และในที่สุด สามารถฝึกเจริญสติที่บ้านได้ โดยใช้เวลาเพียงแค่ 45 นาทีต่อวันเท่านั้น แต่ผลลัพธ์ที่ได้ เกินคุ้ม เมื่อเทียบกับการใช้ยาซึ่งไม่ใช่เป็นการรักษาตรง แต่เป็นความพยายามที่จะปรับสารเคมีในสมองเพื่อบรรเทาอาการ และคงต้องใช้ยาหรือพึ่งยาไปตลอด
การเรียนรู้ลงทุนเพื่อช่วยตัวเองโดยไม่ต้องใช้ยาเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่คนไทยต้องการในขณะนี้และความเอื้อเฟื้อใส่ใจซึ่งกันและกัน