- 13 ธ.ค. 2566
"นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์" เผยข้อแตกต่างระหว่าง "นิ่วในถุงน้ำดี" และ "นิ่วในไต" 2 โรคนี้คนไทยเป็นกันเยอะ พร้อมแนะวิธีสังเกตตัวเอง
วันที่ 13 ธ.ค. 66 ทางด้าน "หมอเจด" หรือ "นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์" รองผู้อำนวยการ รพ.มหาราชนครราชสีมา เคลื่อนไหวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว หมอเจด ถึงความแตกต่างระหว่าง "นิ่วในถุงน้ำดี" และ "นิ่วในไต" ที่คนไทยเป็นกันเยอะ
โดยโพสต์ดังกล่าวระบุว่า นิ่วในถุงน้ำดี นิ่วในไต คนไทยเป็นกันเยอะ
ก่อนหน้านี้ได้มีข่าวสาวกินชานมไข่มุกแล้วเป็นนิ่วที่ถุงน้ำดี ล่าสุดมีข่าวว่ากินน้ำหวานแล้วเป็นนิ่วที่ไต วันนี้เลยอยากจะมาพูดเรื่องนี้ให้ทุกคนฟัง โดยปกตินิ่วที่เราพบได้บ่อยก็จะมี "นิ่วในไต" และ "นิ่วในถุงน้ำดี" โดยทั้งคู่มีความต่างกันนะ
นิ่วในไตเกิดจาก การตกตะกอนของสารออกซาเลต แคลเซียม ซึ่งขับมาที่ปัสสาวะของเรา ส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมการที่เรากิน วิตามินC แคลเซียม น้ำตาล โปรตีนจากสัตว์ และโซเดียม หรือพวกอาหารที่สารออกซาเลต เช่น มันเทศ ถั่วเหลือง กะหล่ำปลี ปวยเล้ง มากจนเกินไปก็ทำให้เกิดนิ่วในไตได้
นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องของกรรมพันธุ์ รวมไปถึงการกลั้นฉี่ กินน้ำน้อยด้วย ซึ่งในข่าวก็ได้ระบุไว้ว่า "สาเหตุที่เคสในข่าวเป็นนิ่วในไตก็เกิดจากการกินน้ำหวานแทนน้ำเปล่า"
ปกตินิ่วในไตจะไม่ค่อยแสดงอาการให้เราเห็น แต่เมื่อนิ่วอุดตันที่ทางเดินปัสสาวะ หรือติดเชื้อจะแสดงอาการ โดยจะปวดหลังหรือปวดเอวมาก จะปวดเป็นพักๆ และจะมีปัสสาวะขัด มีเลือดปนออกทางปัสสาวะ แต่ต้องไปตรวจนะถึงจะรู้ว่ามันปนออกมา อาจจะมีอาเจียนร่วมด้วย
นิ่วในไตจะวินิจฉัยจากการเอกซเรย์ แต่ก็มีโอกาสที่จะมองเห็นไม่ชัด สามารถทำ CT-scan หรืออุลตร้าซาวด์เพื่อตรวจเพิ่มได้
การกินน้ำหวานเยอะๆ ยังส่งผลให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้อีกด้วย
โดยส่วนใหญ่นิ่วในถุงน้ำดีมักจะเกิดจาก "คอเลสเตอรอล" โดยเฉพาะการกินพวกแป้ง น้ำตาล หรือของมันๆ พวกนี้จะเปลี่ยนเป็นไขมันในที่สุด โดยตับจะคอยทำหน้าที่ผลิตน้ำดีและจัดเก็บที่ถุงน้ำดี เพื่อคอยเอามาใช้สลายไขมัน เมื่อเรารับไขมันมากขึ้น จะส่งผลให้น้ำดีทำลายไขมันไม่ทัน เกิดการตกตะกอนเป็นนิ่วในถุงน้ำดีได้
อาการของนิ่วในถุงน้ำดีก็จะมี อาการปวดจุกแน่นท้อง ที่ลิ้นปี่และใต้ชายโครงฝั่งขวา โดยส่วใหญ่จะปวดแบบจุกแน่น หลังทานอาหารไปสักประมาณครึ่งชั่วโมง-1ชั่วโมง
โดยส่วนใหญ่เราจะใช้อุลตร้าซาวด์เพื่อวินิฉัยนิ่วในถุงน้ำดี ซึ่งคน 4 แบบที่มักจะเจอนิ่วในถุงน้ำดีได้แก่
Female ผู้หญิง ในสถิติจะพบว่าผู้หญิงเป็นนิ่วบ่อยกว่าผู้ชาย
Fatty หรือคนที่มีน้ำหนักตัวเยอะ หรือ BMI เกินกว่าเกณฑ์
Forty หรือคนที่อายุ 40 ปีขึ้นไป
Fertile หรือคนที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ หรือคนเคยมีลูก เพราะจะมีเอสโตรเจนที่แปรปวน ซึงส่งผลต่อคอเลสเตอรอล
วิธีการรักษานิ่วในถุงน้ำดีส่วนใหญ่กล่องแทบจะ100%ต้องผ่าตัดโดยส่อง
จะเห็นได้ว่านิ่วทั้งคู่นั้นเกิดจากพฤติกรรม มันป้องกันได้ เพราะฉะนั้นปรับด่วนก่อนที่สุขภาพเราจะมัปัญหานะ เราจะได้ไม่ได้มีเสี่ยงในการเกิดนิ่ว ฝากทุกคนดูแลตัวเองดีๆ เลี่ยงพวกของหวาน ของทอด น้ำหวาน และดื่มน้ำเยอะๆ ไม่กลั้นปัสสาวะ ที่สำคัญสังเกตตัวเองกันด้วยนะครับ ถ้ามีความผิดปกติรีบไปพบหมอเด้ออ
หมอเจด...เจตนาดี
ขอบคุณ FB : หมอเจด