- 16 ธ.ค. 2566
"แพรรี่ ไพรวัลย์" เปิดข้อมูลความรู้แน่น ๆ ในหัวข้อที่ระบุว่า พระพุทธเจ้าสอนคนเป็น 100 เป็น 1,000 ได้ยังไง งานนี้ชัดมาก
"แพรรี่ ไพรวัลย์" ได้ออกมาโพสต์ข้อความ หลัง อ.น้องไนซ์ มีการพูดว่า สมัยพระพุทธเจ้าสอนธรรมะ มีการเชื่อมจิต มิเช่นนั้น คนเป็นพัน จะฟังท่านได้ยินได้อย่างไร โดย เรื่องนี้ แพรรี่ ระบุว่า
พระพุทธเจ้าสอนคนเป็น 100 เป็น 1,000 ได้ยังไง
ประเด็นเรื่องที่ว่าพระพุทธเจ้าสอนธรรมอย่างไร ในกรณีที่คนฟังมีอยู่เป็นร้อยเป็นพัน ท่านได้เชื่อมจิตไปสอนในสมาธิแบบที่มีคนกล่าวอ้างหรือไม่ ดิฉันจะขอตอบให้แบบสั้นๆ นะคะ
เรื่องนี้ ถ้าคนที่เคยศึกษาคัมภีร์ทางศาสนามาบ้าง จะเข้าใจได้ไม่ยากเลยค่ะ
มีหลายที่ในพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสชมภิกษุบริษัทของท่านว่ามีกิริยาอาการงดงาม มีความเคารพเป็นอย่างดีทั้งในตัวท่านและในพระธรรมที่ท่านเทศนาสั่งสอน
ในสมัยพุทธกาล เวลาที่ภิกษุบริษัทท่านอยู่ในธรรมสภานะคะและท่านเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมา ทุกรูปจะต้องพร้อมใจกันเงียบเสียงค่ะ นี่ในพระสูตรและอรรถกถากล่าวตรงกันเลย เป็นเรื่องของพุทธคาระวะตา และธรรมคารวะตา (คือการแสดงความเคารพต่อพระพุทธเจ้าและพระธรรม)
ในพระสูตรกล่าวถึงขนาดว่า แม้แต่เสียงจามและเสียงไอยังไม่มีเลยนะคะ ดังนัันไม่ต้องพูดถึงว่า พวกภิกษุบริษัทเหล่านั้นจะพากันสนทนาหรือพูดคุยเรื่องอื่นใดๆ ต่อหน้าพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าท่านตรัสเปรียบด้วยว่า ถ้าท่านเงียบอยู่อย่างนั้นตลอดกัป ภิกษุบริษัทก็จะพากันเงียบอยู่อย่างนั้น จะไม่มีภิกษุรูปใดรูปหนึ่งกล้ายกเรื่องอื่นขึ้นพูดก่อนที่พระองค์จะแสดงธรรม นี่เป็นเรื่องของมารยาทและอาจาระของภิกษุในสมัยพุทธกาลนะคะ
เรื่องนี้ พระเจ้าอาชาตศัตรูก็เคยพูดถึงไว้อย่างอัศจรรย์พระทัยเมื่อคราวที่หมอชีวกโกมารภัจจ์พาพระองค์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าครั้งแรกที่อัมพวัน คือที่อัมพวันเนี่ย พระพุทธเจ้าประทับอยู่กับภิกษุ 1,250 รูป แต่พอพระเจ้าอชาตศัตรูไปถึงกลับเหมือนวัดร้าง คือมันไม่มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวหรือเสียงพูดคุยกันของภิกษุในอัมพวันนั้นเลย
ความเงียบที่ว่านี้ ถึงกับทำให้พระองค์สงสัยว่า ตัวเองกำลังถูกลวงมาลอบปลงพระชนม์นะคะ
อันนี้ก็เป็นเรื่องของอาจาระและวัตรปฏิบัติในการอยู่อย่างสมณะในสมัยพุทธกาลค่ะ ไม่ใช่เรื่องของความวิเศษอะไรเลย ถ้าใครศึกษาคัมภีร์ทางศาสนามาบ้างจะทราบดีว่า พระพุทธเจ้าตำหนิการอยู่แบบคลุกคลีตีมง (การเผยแผ่ศาสนาในยุคแรกจึงห้ามการไปทางเดียวกัน 2 รูปไงคะ)
นอกจากพระเจ้าอชาตศัตรู ก็ยังมีพระเจ้าปเสนทิโกศลอีกพระองค์หนึ่งนะคะ ที่อัศจรรย์พระทัยกับอากัปกิริยาของภิกษุบริษัทของพระพุทธเจ้า อย่างที่เคยตรัสถึงเหตุที่ทำให้พระองค์มีความเคารพศรัทธาอย่างมากเหลือเกินในพระพุทธเจ้าและพระธรรมว่า
สมัยใด ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่บริษัททั้งหลายอยู่ ในบริษัทนั้นสาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าจะไม่มีเสียงจามหรือเสียงไอเลย เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มาก ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงฝึกพระสาวกได้ดีแล้วอย่างนี้ โดยไม่ต้องใช้อาชญา โดยไม่ต้องใช้ศาสตรา ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทรงเคยได้เห็นบริษัทอื่นที่ฝึกได้ดีอย่างนี้ นอกจากบริษัทในพระธรรมวินัยนี้
คือแม้แต่พระองค์เองซึ่งเป็นกษัตริย์ มีอำนาจมากก็ยังไม่อาจฝึกข้าราชบริพารไม่ให้พูดสอดขึ้นในระหว่างที่พระองค์กำลังตรัสอยู่ได้เช่นพระพุทธเจ้าเลย
ดังนั้น การสอนธรรมกับคนจำนวนมากของพระพุทธเจ้า จึงเป็นเรื่องของการสื่อสารจำเพาะ ระหว่างพระองค์กับกลุ่มสาวกบริษัทที่ได้รับการฝึกหัดด้วยพระธรรมวินัยอย่างดีแล้วค่ะ ไม่ใช่เรื่องของการเชื่อมจิต หรือใช้เทคนิคทางอิทธิฤทธิ์ปาฎิหาริย์แต่อย่างใด
แต่ถึงอย่างนั้นนะคะ
การบอกว่าในธรรมสภามีภิกษุจำนวนมาก ก็ได้หมายความภิกษุจำนวนเท่านัันทั้งหมด ต้องเป็นผู้ได้ยินได้ฟังธรรมเท่ากันนะคะ
ที่สำคัญในกรณีที่ทรงสอนธรรมกับคนทั่วไปเป็นจำนวนมากๆ มันก็มีทั้งที่ตั้งใจฟังและไม่ตัังใจฟังเป็นเรื่องปกติค่ะ มีทัังที่ฟังแล้วเข้าใจและบรรลุธรรมก็มี มีทัังที่ฟังแล้วไม่เข้าใจและไม่บรรลุอะไรเลยก็มี ไม่ใช่ว่าสอนได้ทั้งหมด บรรลุธรรมทั้งหมด ไม่ใช่ค่ะ
ต้องเข้าใจให้ชัดแบบนี้ก่อนนะคะ เรื่องการสอนธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พูดส่งเดชไปเรื่อย แล้วก็ที่ยังขายอยู่ นั่นก็คือปลาอินทรีแดดเดียว ปลาหวานเนื้อปลาอินทรี น้ำพริกหรือทุเรียนทอด ฟังธรรมแล้วก็มาสั่งกันบ้าง จบ