ศิษย์เก่าไม่ยอม คัดค้านย้าย"อุเทนถวาย"รวมตัวแสดงจุดยืน แก้ปัญหาไม่ตรงจุด

ตัวแทนกลุ่มศิษย์เก่าอุเทนถวาย แสดงจุดยืน ยื่นหนังสือคัดค้านย้ายอุเทนถวายออกจากพื้นที่เดิม ลั่นการย้ายพื้นที่ไม่ใช่ทางออก เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด นัดรวมพลครั้งใหญ่ 27 ก.พ. นี้


9ก.พ.67  ตัวแทนกลุ่มศิษย์เก่าอุเทนถวาย จำนวน 12 คน นำโดย นายธนัช วชิระบงกช ได้เดินทางมายื่นหนังสือขอคัดค้านการย้ายอุเทนถวาย โดยมี น.ส.สุชาดา แทนทรัพย์ เลขานุการ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) และโฆษกกระทรวง อว. ได้รับมอบหมายจาก น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.อว. ให้เป็นผู้แทนรับหนังสือฯดังกล่าว

ศิษย์เก่าไม่ยอม คัดค้านย้าย\"อุเทนถวาย\"รวมตัวแสดงจุดยืน แก้ปัญหาไม่ตรงจุด

นายธนัช กล่าวว่า วันนี้พวกตนเป็นตัวแทนกลุ่มศิษย์เก่าอุเทนถวายที่ต้องการมาชี้แจงข้อเท็จจริงและแสดงจุดยืนถึงการคัดค้านการย้ายอุเทนถวายออกจากพื้นที่เดิม เพราะอุเทนถวายควรได้รับการรักษาไว้ให้เป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ทางด้านสถานที่เพื่อการศึกษา ที่ยังคงสืบทอดให้ความรู้มาเกือบ 100 ปี

 

สถานที่อุเทนถวายมีพื้นที่ 21 ไร่ คิดเป็นเพียงแค่ร้อยละ 1.82 ของพื้นที่ทั้งหมด 1,183 ไร่ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอ้างเป็นผู้ครอบครองโดยชอบธรรม

 

จึงไม่เห็นถึงความจำเป็นที่ต้องเอาสถานที่อุเทนถวายที่ใช้เพื่อการศึกษาอยู่แล้วนำไปขยายพื้นที่การศึกษาของจุฬาฯ ซึ่งจุฬาฯ ควรพิจารณาจากพื้นที่ที่ใช้เพื่อการพาณิชย์กลับคืนมาเพื่อการศึกษามากกว่า

ศิษย์เก่าไม่ยอม คัดค้านย้าย\"อุเทนถวาย\"รวมตัวแสดงจุดยืน แก้ปัญหาไม่ตรงจุด

ขณะที่ ปัญหาเรื่องการทะเลาะวิวาทของนักศึกษา ทางศิษย์เก่าอุเทนถวายขอยืนยันว่า ไม่เคยสนับสนุนให้เกิดการทะเลาะวิวาทและวัฒนธรรมที่ผิดเพี้ยน การย้ายพื้นที่จึงไม่ใช่ทางออกของการแก้ปัญหา เป็นการแก้ปัญหาไม่ตรงจุด และพวกตนยังพร้อมให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อเข้าไปร่วมแก้ปัญหาและสร้างความเปลี่ยนแปลง เพื่อเปลี่ยนภาพจำของผู้คนในสังคมที่มีต่อนักศึกษาอุเทนถวายให้ได้ ทั้งนี้ ในวันที่ 27 ก.พ. ศิษย์เก่าอุเทนถวายหลายร้อยคนจากทั่วประเทศจะนัดรวมตัวที่กระทรวง อว. เพื่อแสดงจุดยืนเพื่อคัดค้านการย้ายพื้นที่ดังกล่าว

ศิษย์เก่าไม่ยอม คัดค้านย้าย\"อุเทนถวาย\"รวมตัวแสดงจุดยืน แก้ปัญหาไม่ตรงจุด


น.ส.สุชาดา กล่าวว่า การย้ายพื้นที่อุเทนถวายไม่ได้เกิดขึ้นจากปัญหาของการทะเลาะวิวาทของนักศึกษา แต่เป็นเพราะกระทรวง อว. และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวจะต้องดำเนินการตามข้อกฎหมาย ไม่เช่นนั้นจะเท่ากับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ขณะนี้ กระทรวง อว. โดย รมว.อว. ได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะเข้าไปช่วยแก้ปัญหาอย่างจริงใจเพื่อหาข้อยุติ จึงเป็นที่มาของการตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนการยุติข้อพิพาทฯ โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้อง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันของอุเทนถวายเข้าร่วม ทั้งนี้ อยากฝากให้ตัวแทนศิษย์เก่าช่วยสร้างความเข้าใจกับศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันถึงเหตุผลดังกล่าว ไม่อยากให้เกิดการเข้าใจผิด และขอยืนยันว่า อว. จะดำเนินการทุกอย่างอย่างเป็นธรรมและยึดประโยชน์ของนักศึกษาเป็นสำคัญ

ศิษย์เก่าไม่ยอม คัดค้านย้าย\"อุเทนถวาย\"รวมตัวแสดงจุดยืน แก้ปัญหาไม่ตรงจุด

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 8ก.พ.67  น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.) ได้ตอบกระทู้ถามสดของนายชวน หลีกภัย ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรกรณีนโยบายการรับนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล(มทร.) ตะวันออก วิทยาเขตอุเทนถวาย 

เรื่องการจัดหาสถานที่เรียนให้นักศึกษาที่ต้องย้ายนั้น ในเบื้องต้นได้กำหนดไว้ใน 4 พื้นที่ ได้แก่ วิทยาเขตบางพระ จ.ชลบุรี วิทยาเขตจักรพงษภูวนารถ ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ พื้นที่บริจาคที่มีนบุรี กรุงเทพฯและพื้นที่ที่ราชพัสดุใน จ.สมุทรปราการ ซึ่งทั้ง 4 สถานที่สามารถเดินทางได้สะดวก โดยกระทรวง อว. ได้ประสานกับอุเทนถวายเพื่อจัดทำรายละเอียดในการจัดทำคำของบประมาณ และประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อให้ความช่วยเหลือในการสนับสนุนในด้านต่างๆ

ศิษย์เก่าไม่ยอม คัดค้านย้าย\"อุเทนถวาย\"รวมตัวแสดงจุดยืน แก้ปัญหาไม่ตรงจุด

ขณะที่อุเทนถวายได้มีการจัดทำแผนการเคลื่อนย้ายบุคลากรของสำนักงานเขตพื้นที่อุเทนถวาย ซึ่งมีจำนวน 125 คน โดยจัดหาพื้นที่การปฏิบัติงานบางส่วนในพื้นที่จักรพงษภูวนารถ และเตรียมการเคลื่อนย้ายครุภัณฑ์เพื่อใช้ในการทำงาน และกำหนดเริ่มปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 12 มี.ค.2567  นอกจากนี้ ยังจัดทำแผนเคลื่อนย้ายพื้นที่เขตพื้นที่อุเทนถวาย

ศิษย์เก่าไม่ยอม คัดค้านย้าย\"อุเทนถวาย\"รวมตัวแสดงจุดยืน แก้ปัญหาไม่ตรงจุด

โดยจัดทำโครงการก่อสร้างขยายเขตพื้นที่การศึกษาของคณะวิศวกรรมศาสตร์และสถาปัตยกรรมศาสตร์ บนที่ดินจำนวน 24 ไร่ 2 งาน 50 ตารางวา ที่มีนบุรี กรุงเทพฯ เพื่อรองรับการเคลื่อนย้ายนักศึกษา ทั้งนี้ได้ผ่านการพิจารณาของสภามหาวิทยาลัยฯ แล้วพร้อมกับได้เสนอของบประมาณในปี 2568 จำนวนประมาณ 400 ล้านบาทต่อสำนักงบประมาณแล้ว