ประวัติวันวาเลนไทน์ เรื่องเศร้าของนักบุญ ที่คนทั่วโลกเฉลิมฉลอง

14 กุมภา วันวาเลนไทน์ (Valentine's Day) หลายๆ คนอาจจะตั้งหน้าตั้งตารอคอยทำเรื่องโรแมนติกสุดพิเศษให้กับคนที่รักใน "วันแห่งความรัก" แต่หารู้ไม่ว่า เรื่องราวของวันวาเลนไทน์นั้น น่าเศร้ากว่าที่คิด 

 

ประวัติวันวาเลนไทน์ เรื่องเศร้าของนักบุญ ที่คนทั่วโลกเฉลิมฉลอง

"VALENTINE'S DAY" หลายๆ คนคงวางแผนหาร้านดอกไม้ เพื่อสั่งทำ "ดอกไม้วาเลนไทน์" ไว้แล้ว แต่น้อยคนจะรู้ว่า ความหมายแท้จริงของ "วาเลนไทน์" อาจจะทำให้คุณต้องน้ำตาไหลได้โดยไม่รู้ตัว 

 

 

 

ประวัติวันวาเลนไทน์

วันวาเลนไทน์ ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Valentine's Day คือ วันที่มีความเป็นมายาวนานกว่า 1,500 ปี เนื่องจากวันวาเลนไทน์ จัดขึ้นเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 496 ซึ่งถือเป็นวันเฉลิมฉลองนักบุญของศาสนาคริสต์ ก่อนที่ในเวลาต่อมา จะถูกตีความหมายใหม่ ให้กลายเป็นวันแห่งความรัก ที่มีเรื่องราวของความโรแมนติกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

ประวัติของวันวาเลนไทน์

กำเนิดขึ้นในสมัยจักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 (Emperor Claudius II) ของกรุงโรม โดยในสมัยนั้นกรุงโรมมักตกอยู่ในภาวะสงครามอยู่บ่อยครั้ง องค์จักรพรรดิทรงชื่นชอบการทำสงคราม จึงสั่งเกณฑ์ผู้ชายไปออกรบ แต่ขณะเดียวกัน ผู้ชายหลายๆ คนก็มีครอบครัว และคนรักที่ต้องดูแล ล้วนไม่อยากจากครอบครัวเพื่อไปเสี่ยงชีวิตในสนามรบ

 

จักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 ทรงสั่งยกเลิกพิธีหมั้น และการแต่งงานในกรุงโรมทั้งหมด เพื่อให้ประชาชนไปออกรบ แต่นักบุญผู้มีชื่อว่า "วาเลนตินัส" หรือที่รู้จักกันในนาม "นักบุญเซนต์วาเลนไทน์" (Saint Valentine) ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งดังกล่าว จึงชักชวนคู่รักในกรุงโรมให้เข้าพิธีแต่งงาน ทำให้จักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 ไม่พอพระทัย สั่งจับตัวนักบุญวาเลนไทน์ มากักขังไว้ และมีคำสั่งประหารชีวิต
 

 

แต่นักบุญได้ตกหลุมรักลูกสาวของผู้คุม ซึ่งเป็นหญิงสาวตาบอดสนิททั้งสองข้าง ก่อนจะถึงเวลาประหาร เขาได้ส่งจดหมายถึงหญิงตาบอด โดยลงท้ายข้อความในจดหมายฉบับนั้นว่า "From your Valentine" เรื่องราวสุดเศร้านี้เผยแพร่ออกไปทั่วกรุงโรม ส่วนนักบุญวาเลนไทน์ ได้เสียชีวิตลงในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 

และนับตั้งแต่นั้นมา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกๆ ปี จึงถือเป็น "วันวาเลนไทน์" เพื่อระลึก และยกย่องความรักอันบริสุทธิ์ของนักบุญวาเลนไทน์ผู้ล่วงลับ เรื่องราวของเขา ถูกพูดถึงในประเทศต่างๆ ทั่วยุโรป ทำให้วันวาเลนไทน์ กลายเป็นวันที่มีความสำคัญในการเฉลิมฉลองความรัก จนถึงปัจจุบันนั่นเอง 

"เทพเจ้าคิวปิด" สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์

แน่นอนว่า วันวาเลนไทน์ จะขาดสัญลักษณ์ได้อย่างไร ซึ่งหลายคนอาจนึกถึงดอกกุหลาบสีแดง แต่จริงๆ แล้ว สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์ก็คือ "เทพเจ้าคิวปิด" เทพปกรณัมกรีกเชื่อว่าเทพเจ้าคิวปิด เป็นบุตรชายของเทพวีนัส มีลักษณะเป็นเด็กหนุ่ม มีปีก และถือคันศร ชาวยุโรปเชื่อว่าเทพเจ้าองค์นี้ สามารถบันดาลให้คนตกหลุมรักกันได้ ด้วยการแผงศรประจำตัว เทพเจ้าคิวปิดจึงถูกยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งความรัก และกลายเป็นสัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์นั่นเอง

กิจกรรม และความสำคัญของวันวาเลนไทน์
หากอิงตามประวัติศาสตร์แล้ว วันวาเลนไทน์ มีความสำคัญที่ถูกจัดขึ้นเพื่อระลึกถึงการจากไปของนักบุญวาเลนไทน์ ผู้ที่ทำให้ผู้คนตระหนักถึงความรักและมิตรภาพอันบริสุทธิ์ โดยในปัจจุบันวาเลนไทน์ กลายเป็นวันแห่งความรักที่คู่รัก นิยมมอบดอกไม้ ช็อกโกแลต การ์ดอวยพร หรือของขวัญให้แก่กัน เพื่อแสดงถึงความใส่ใจ และความปรารถนาดี ห้างร้านต่างๆ ก็มักจะตกแต่งด้วยโทนสีสันสดใส โดยเฉพาะสีแดง และสีชมพู รวมถึงมีการวางจำหน่ายดอกไม้ สินค้าที่ระลึก ที่เกี่ยวข้องกับวันวาเลนไทน์

คำอวยพรวันวาเลนไทน์ 
บอกเลยว่าจะหาก็อปปี้จากที่ไหนมันจะไม่มีความหมายในทันที เพราะการเขียนการ์ดอวยพรนั้นต้องมาจากหัวใจ ที่สื่อได้ถึงคนรัก ดังนั้นรู้สึกอย่างไรกับคนที่รักก็จงเขียนให้ไปแบบนั้นเลยจะดีกว่า แม้จะไม่มีคำว่ารัก แต่อะไรที่กลั่นออกมาจากหัวใจที่ซื่อสัตย์อีกฝ่ายมักจะสัมผัสได้ และมันจะทำให้ วันวาเลนไทน์ของคุณโรแมนติกขึ้นอีก 3,000 เปอร์เซ็นเลยทีเดียว 

แต่ถ้าคิดไม่ออกจริงๆ ทีมข่าวก็จะช่วยสัก 5 ประโยคแล้วกัน 

1. อันที่จริงวันวาเลนไทน์ไม่เห็นสำคัญเลย เพราะคุณคือวันแห่งความรักในทุกๆ วันของผม 
Actually Valentine's Day is not important because you are my Valentine's Day in everyday 
2. คุณคือคนที่ผมอยากทำให้ทุกวันเป็นวันวาเลนไทน์ ไม่ใช่แค่เฉพาะวันที่ 14 กุมภา 
You made me want to do everyday to be Valentine's Day not just 14th February 
3. ผมอยากมอบความรักทั้งหมดให้คุณในทุกๆ วัน ไม่ใช่แค่วันวาเลนไทน์
I want to give you all mine everyday not only 14th February 
4. ผมไม่อยากพูดคำว่ารัก เพราะไม่มีคำไหนมีค่ามากของที่จะความรู้สึกของผมได้จริงๆ 
I don't want to say 'i lvoe you' because on words can't show my all feelling to you 
5. ขอบคุณนะ ที่ทำให้ผมไม่มีวันวาเลนไทน์แย่ๆ อีกแล้ว
Thank you for made me have no more bad Valentine's Day